14 มีนาคม 2564

วัฒนธรรมการกินหัว

 วัฒนธรรมการกินหัว !!! ขอบอกเล่าบ้างแล้วกัน

การเรียนการสอนของแพทย์ในชั้นคลินิก การตรวจการรักษาผู้ป่วย การทำหัตถการ การสื่อสารทางการแพทย์ การทำงานร่วมกันกับวิชาชีพอื่น สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ไม่มีสอนในตำราอย่างชัดเจน นักเรียนแพทย์ในระดับต่าง ๆ ต้องเรียนรู้ จดจำ ฝึกฝน โดยมีครูแพทย์เป็นคนสอน

ถามว่าการด่า ไม่ไว้หน้า การประจาน หรือที่เรียกว่า การกินหัว มันช่วยในการเรียนรู้จริงหรือไม่

ผมเองก็เคยถูกกินหัวมาแล้วในอดีต เคยถูก "ด่า" อยู่เกือบ 20 นาทีหน้าเคาน์เตอร์พยาบาล ท่ามกลางธารกำนัลของอัษฎางค์ ด้วยเหตุที่ผมไม่ได้บันทึกและคิด fluid output ครบทุกทางที่ผู้ป่วยสูญเสียสารน้ำ ตอนนั้นถูกด่าประมาณว่าผมหนีไปนอนตอนผู้ป่วยหยุดหายใจ ตอนนั้นบอกตามตรงว่าโกรธ อาย หูชาหน้ามืด เพราะเราก็ทำดีที่สุดแล้ว ไม่ใช่ว่าเราขี้เกียจหรือหลบเลี่ยง แต่มันคือความผิดพลาดโดยสุจริต ยังจำเหตุการณ์นั้นได้ น้ำตามันไม่ออกมาครับ มันแน่นไปหมด ไม่มีคำพูดใด ๆ ออกมาได้ มันเบลอไปหมด กลายเป็นเรายอมรับผิดทุกคำกล่าวหา ไม่มีคำอธิบาย ยืนนิ่งโดยที่ทุกคนไม่กล้าเข้ามาเฉียดใกล้เลย (จริง ๆ มีอีกหลายเหตุการณ์นะครับ)

เมื่อมองย้อนหลังกลับไป พบว่าสิ่งต่าง ๆ ที่อาจารย์หรือรุ่นพี่สอน ในเชิงเนื้อหา นั่นคือเรายังบกพร่องจริง ยังไม่ถึงความต้องการขั้นต่ำที่ควรจะเป็น แม้ว่าเราจะคิดว่าเราทำได้ดีสุดตามความคิดและกำลังของเรา สิ่งที่อาจารย์และรุ่นพี่บอกคือ คุณยังไม่ดีพอ และคุณสามารถดีกว่านี้ได้

แต่ถามว่าต้องด่าขนาดนั้นเลยหรือไม่ ส่วนตัวผมคิดว่า กรรมวิธีการสอน น่าจะเป็นวุฒิภาวะและ mindset ของอาจารย์แต่ละท่านมากกว่า หลาย ๆ ท่านก็ไม่ด่าเทสาดเทเสีย แต่ผลลัพธ์มันก็ดีเหมือนกัน อาจารย์หลายท่านได้รับฟีดแบ็กก็ปรับปรุงวิธีการสอน ใช้อารมณ์ลดลง ผลลัพธ์ดีขึ้นก็มาก แต่ก็มีบางท่านที่ไม่ปรับเปลี่ยนจริง ๆ

สิ่งที่อาจารย์สอน (ด่า) ส่วนใหญ่ไม่ใช่เนื้อหาทางวิชาการ แต่จะเป็นความเป็นมืออาชีพในทางวิชาชีพเสียมากกว่า ตรงนี้นักเรียนต้องทำใจว่า มันขึ้นกับประสบการณ์ ยากนักที่เราจะมีประสบการณ์เท่าอาจารย์ในเวลานั้น

🔴🔴สิ่งที่ผมแนะนำคือ

นักเรียนต้องปรับตัวเข้ากับอาจารย์แต่ละท่าน คิดเสียว่าเป็นการเรียนรู้ปรับตัว นำเอาสิ่งดีที่ท่านสอนมาปรับปรุงใช้ประโยชน์

จำสิ่งที่ตัวเองคิดว่าเป็นความเจ็บปวดในตอนนั้น เป็นสิ่งที่ทำร้ายจิตใจ และปรับปรุงตัวเอง เตือนตัวเองเสมอ ว่าอย่าทำในสิ่งที่เราเคยได้รับมาในอดีต

เมื่อมีโอกาสฟีดแบ็ก ให้ฟีดแบ็กเลยครับ แต่อย่าใช้อารมณ์ ให้บอกเล่าเรื่องราวแทน สิ่งที่เราฟีดแบ็กจะช่วยได้จริง การเปลี่ยนแปลงตอนนี้ก็เกิดจากการรับฟังและกล้าพูดอย่างมีเหตุผลนะครับ

🔴🔴และถ้าผมเป็นอาจารย์แพทย์ ผมอยากจะทำแบบนี้

โลกยุคนี้ ให้ความสำคัญกับความเท่าเทียม ความเป็นมนุษย์ ผมจะพยายามทันยุคนิดนึงครับ ยืนบนพื้นเดียวกัน เท่ากันกับเขาก่อน แล้วค่อยสอน

ผมมีความเชื่อว่า คนที่จะมาเรียนระดับปริญญาตรี เขามีความรู้ชอบชั่วดีพอสมควร สอนได้ด่าได้ในประเด็นที่เขาพลาดและมันจะส่งผลเสียต่อผู้อื่นและตัวเขาเอง แต่แค่บอกแค่สอน ไม่ต้องด่าจนเขาสูญเสียความมั่นใจในตัวเอง

ผมคิดว่าคนทุกคน ควรได้รับโอกาสแก้ไข การชี้จุดดีจุดด้อย ให้เขาแก้ไข ดีกว่าด่าและขยี้แต่จุดที่เขาผิดโดยลืมสิ่งดีในตัวเขา

 ผมอยากปรับตัวให้นักเรียนอยากเข้าหา มากกว่าไปซุบซิบว่า ไปหาลุงหมอให้สวมหมวกกันน็อกและใส่เอียร์ปลั๊กไปด้วย

ถามว่าด่าแล้วมันช่วยจริงไหม มันช่วยได้นะครับ แต่ต้องคิดถึงผลที่จะตามมานิดนึง ปรับให้เหมาะสมกับความบกพร่อง เจตนาของบุคคล และสภาพจิตใจเขาด้วย เอาที่พอดีครับ

ตึงไปก็ขาด
หย่อนไปก็บกพร่อง

เอาที่พอดี ๆ สักที่สองที่สามในตารางพรีเมียร์ลีกก็พอนะ ปีนี้ออกตัวไปเยอะ อย่าให้พี่อาย

อาจเป็นรูปภาพขาวดำ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น