08 มกราคม 2563

ความคืบหน้าเรื่องแป้งฝุ่นกับการเกิดมะเร็ง

ความคืบหน้าเรื่องแป้งฝุ่นกับการเกิดมะเร็ง
เรื่องนี้ผมจัดให้เป็นหนึ่งใน 25 เรื่องที่ผมชอบที่สุดในปี 2562 ว่าหลักฐานของแป้งฝุ่นที่ก่อมะเร็งในระบบทางเดินหายใจยังมีน้อยมาก และมีหลักฐานว่าอาจจะก่อมะเร็งในระบบสืบพันธุ์เพศหญิงหากใช้แป้งฝุ่นทาบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกบ่อย ๆ
ท่านสามารถติดตามของเดิมได้ที่ลิ้งก์นี้
https://www.facebook.com/medicine4layman/posts/2168931386756216?__tn__=K-R
วารสาร JAMA ได้ลงบทความการศึกษาความสัมพันธ์ของการใช้แป้งฝุ่นบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์สตรีกับการเกิดมะเร็งรังไข่ เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2563 เป็นการรวบรวมการเก็บข้อมูลสุขภาพหญิงที่ทำไว้อยู่แล้วสี่งานวิจัยหลัก แน่นอนว่าการเก็บข้อมูลเหล่านี้เก็บมาก่อนตั้งคำถาม ดังนั้นความครบถ้วนของข้อมูลและระดับความหนักแน่นของข้อมูลจะไม่มากนัก
ในงานวิจัยที่ทำระยะหลัง ๆ จะมีข้อมูลการทาแป้งตรงจุดซ่อนเร้นลดลง เพราะเริ่มมีข้อมูลว่ามันไม่ดี และกลุ่มอายุของงานวิจัยหลัง ๆ ที่พบในวัยรุ่นจะมีการทาแป้งตรงจุดซ่อนเร้นลดลง ตรงนี้ก็เป็นอีกหนึ่งจุดบอด และหากอ่านดูจะพบว่าอุบัติการณ์ของโรคมะเร็งรังไข่ที่พบจากการรวบรวม 4 งานวิจัยนี้ไม่มากนัก ภาษาสถิติเรียกว่า underpower คืออาจไม่มีพลังมากพอที่จะประกาศตามผลการทดลองนั้น เพราะโรคมันเกิดน้อยกว่าปรกติ จะทำอะไรมันก็ไม่ก่อโรคทั้งนั้น
ได้กลุ่มตัวอย่างมาประมาณ 250,000 คนติดตาม 11 ปี พบว่าเกิดมะเร็งรังไข่น้อยมาก 2168 รายเท่านั้น และในกลุ่มที่ทาแป้งตรงจุดซ่อนเร้นและไม่ทา (บอกยากอีกนะ ว่าทามากหรือน้อย นานแค่ไหน ใครทาให้) อัตราการเกิดมะเร็งรังไข่ก็ไม่ต่างกันทางสถิติ !!
งานวิจัยยังแยกย่อยออกไป คิดแยกตาม อายุ สภาวะสมรส มีบุตร ... อีก 10 ข้อ พบว่าถ้าคิดแยกตามประเด็นแล้ว (อย่าลืมว่าผลวิจัยหลักมันไม่ต่างกันและ underpower นะ) จะพบหนึ่งปัจจัยที่อาจเกิดมะเร็งรังไข่มากขึ้น คือการไม่สมบูรณ์ของทางเดินท่อนำไข่ เช่น ทำหมัน (ผูกและตัดท่อ) หรือตัดมดลูก (ตัดท่อ) คนที่ยังที่ท่อครบ จะมีโอกาสเกิดมะเร็งรังไข่ได้มากกว่าคนที่ท่อไม่สมบูรณ์ 13% ไม่มากเลย ให้เหตุผลว่าฝุ่นแป้งเข้าไประคายเคืองไม่ถึงรังไข่ เพราะ ทางขาด !!
ไม่ได้หมายความว่าให้ไปตัดท่อแล้วโบ๊ะแป้งได้นะครับ การศึกษานี้มาบอกว่ายังไม่พบความสัมพันธ์ที่ชัดเจนระหว่างการใช้แป้งฝุ่นทาบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ กับโอกาสการเกิดมะเร็งรังไข่
แม้หลักฐานจะไม่หนักแน่น แต่ขนาดตัวอย่างที่ใหญ่มาก ติดตามนานพอสมควร ก็เป็นหลักฐานที่ดีที่สุดที่มี ณ เวลานี้
รายงานข่าว จาก ลุงหมอ ยอดฝีมือแห่งการทาแป้ง
ที่มา (เสียเงินนะ)
1.O’Brien KM, Tworoger SS, Harris HR, et al. Association of Powder Use in the Genital Area With Risk of Ovarian Cancer. JAMA. 2020;323(1):49–59. doi:https://doi.org/10.1001/jama.2019.20079
2.Gossett DR, del Carmen MG. Use of Powder in the Genital Area and Ovarian Cancer Risk: Examining the Evidence. JAMA. 2020;323(1):29–31. doi:https://doi.org/10.1001/jama.2019.20674

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น