07 มีนาคม 2562

Public Health England 2019



งานวิจัยเรื่องบุหรี่ไฟฟ้าจากสหราชอาณาจักรดูจะมีน้ำหนักมากที่สุด ด้วยความที่สามารถใช้ได้อย่างเปิดเผย แต่ว่าไม่เสรีนะครับ มีการควบคุมอย่างดี มีการเก็บข้อมูลเปรียบเทียบ มีการทดลองที่ขนาดไม่ใหญ่มาก (ด้วยข้อจำกัดด้านจริยธรรม) มีการติดตามข้อมูลในระยะยาว ทำให้องค์ความรู้เรื่องบุหรี่ไฟฟ้าก้าวหน้าไปมากในช่วงห้าปีมากนี้
มีรายงานการวิจัยเกี่ยวกับยาสูบ บุหรี่ และผลิตภัณฑ์ทดแทนทั้งบุหรี่ไฟฟ้าและ Heat not Burn ออกมาทุกปี ทั้งสรุปของเก่าที่เอามาใช้และของใหม่ที่น่าจะใช้ เพราะแนวนโยบายที่ต้องควบคุมรายงาน ใครอยากอ่านย้อนหลังไปค้นได้ในเพจนะครับ ผมรายงานแทบทุกปี สำหรับปีนี้จะขอมาสรุปให้ฟังอีกครั้ง สำหรับรายงานจาก Public Health England 2019
***ต้องขอย้ำก่อนว่าข้อมูลนี้เกิดจากสถานที่ กฎหมายควบคุม วัฒนธรรมและการยอมรับ ที่แตกต่างจากบริบทในประเทศเรามาก ไม่สามารถนำมาใช้อ้างอิงตรง ๆ ได้ทั่งกลุ่มผู้สนับสนุนและคัดค้านบุหรี่ไฟฟ้า***
1. ในอนาคตคงจะใช้คำเรียก electronic nicotine delivery devices แบบใหม่ไม่ให้สับสนกับบุหรี่เผาไหม้ หรือผลิตภัณฑ์ที่ต้องเผาไหม้ใบยาสูบ สำหรับผมขอใช้คำว่า vape, vaping, vaper ส่วนบุหรี่และยาสูบแบบเดิมจะใช้ smoking, smoker ..ขอล้ำนำอังกฤษนิดนึง
2. งานศึกษาวิจัยที่มี ต้องบอกว่ายังเป็นแบบเดิมคือเป็นงานวิจัยชนิดเฝ้าดูเฝ้าติดตามเป็นส่วนมาก ที่จริงเกือบทั้งหมด ส่วนที่ทำการทดลองในคนแบบงานวิจัยคลินิกมีไม่มากนัก ด้วยข้อจำกัดทางจริยธรรมงานวิจัย และอุปกรณ์การติดตามที่ต้องใช้อุปกรณ์การวิเคราะห์ราคาสูง ทำให้ต้องใช้ระดับหลักฐานแบบนี้จำนวนมาก หรือกลุ่มศึกษามาก จึงจะเห็นความสัมพันธ์ที่ชัดเจนแบบที่จะตัดตัวแปรปรวนได้ ...ข้อจำกัดอีกอย่างคือ งานวิจัยเกือบทั้งหมดติดตามด้วยแบบสอบถาม ที่มีโอกาสผิดพลาดสูง ที่ติดตามและยืนยันด้วยการวัดค่าทางวิทยาศาสตร์มีไม่มากนัก...
3. ยังคงต้องรองานวิจัยที่หลากหลายและยาวนานกว่านี้ ซึ่งหลายงานใกล้สิ้นสุดแล้ว และจำเป็นต้องทำการวิจัยในแต่ละประเทศเพื่อใช้เองด้วย เพราะบริบทด้านสุขภาพคน ด้านการเงิน ด้านวัฒนธรรมที่ต่างกัน สิ่งต่าง ๆ นี้มีผลต่อการใช้และศึกษา smoking หรือ vaping ทั้งสิ้น ผลการศึกษาในประเทศที่บริบทต่างกันจึงออกมาแปรปรวนมาก
4. มีคำแนะนำให้กำหนดมาตรฐานบุหรี่ไฟฟ้า tank ไม่เกิน 2 mL, ขวดเติมขนาดไม่เกิน 10 mL, ความเข้มข้นนิโคตินไม่เกิน 20 mg/mL ห้ามปรุงสีและกลิ่น ขั้นตอนการใช้และการเติมน้ำยาต้องปลอดภัย ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ต้องออกแบบให้เด็กและเยาวชนเข้าถึงได้ยาก
5. NICE guidelines ของอังกฤษ แนะนำว่าไม่ควรหยุดสนับสนุนถ้าหากใช้เพื่อเลิก smoking และต้องทำการศึกษาต่อไปเรื่อง กลิ่นและสี, อุปกรณ์การเลิก smoking, ผลแทรกซ้อนระยะยาว และถ้าจะใช้ vape ให้ใข้ vape อย่างเดียว ไม่ใช้คู่กับ smoking (ตัวเลขการใช้คู่กันตามงานวิจัยสูงมาก)
5. ในแง่ vaping กับเยาวชน พบว่าเด็กและเยาวชนเข้าถึงได้มากขึ้น ลองมากขึ้น (จาก 10% เป็น 15%) แต่ใช้ในระยะยาวไม่มากไม่เกิน 10% ของคนที่เคยลอง ส่วนคนที่ smoking นั้นเคยผ่านการ vape มาแล้วเกือบ 90% แต่ไม่สามารถสรุปได้ว่า การ vape นำพาไปสู่การ smoking และถึงแม้ตัวเลขคนที่ smoking ลดลงพร้อมกับตัวเลข vaping ที่เพิ่มขึ้น ก็ไม่สามารถสรุปความสัมพันธ์ได้ว่า การ vape ช่วยลด smoking ลงได้
6. ในแง่ vaping กับกลุ่มผู้ใหญ่ เหตุผลที่ใช้ส่วนมากคือแค่ลองดูและใช้เพื่อเลิก smoking รวมทั้งใช้ vape ต่อเพื่อจะได้ไม่กลับไป smoking อีก เช่นกันแม้ตัวเลขผู้ smoking ลดลง (15.5% ลดเหลือ 14.9%) และตัวเลข vape สูงขึ้น (5.5% เป็น 6.2%) แต่ก็ไม่สามารถสรุปได้ว่าการ vape ช่วยลด smoking และเช่นกันกับกลุ่มเยาวชน ผู้ใหญ่ลองใช้ vape มากขึ้นแต่ใช้ต่อเนื่องไม่มากนัก
7.ในผู้ใหญ่นั้น คนที่ใช้ vape มักจะเป็นคนที่เลิก smoking แล้วเพื่อไม่ให้ตัวเองกลับไป smoke อีก ผู้ใหญ่นิยมใช้ vaping แบบเติมน้ำยานิโคตินเอง ปรับเอง ใช้นิโคตินเฉลี่ย 6-18 mg/mL ปริมาณไม่เกิน 10 mL ต่อวัน น้อยมากที่จะใช้เกิน 20 mg/mL มักจะใช้กลิ่นเดิมรสเดิมไม่เปลี่ยนไปมา และมีแนวโน้มว่าจะ vape ห่างออกไปเรื่อย ๆ
8. สำหรับการใช้ vape เพื่อการเลิกบุหรี่ในคลินิกเลิกบุหรี่ คลินิกเลิกบุหรี่ในอังกฤษอนุญาตให้ใช้ vape ในการช่วยเลิก smoking ได้ โดยพบว่าหากมีการใช้ vape แล้วคนจะหันมาพยายามเลิก smoking เพิ่มขึ้น แต่กลับเข้าคลินิกเลิกบุหรี่ลดลง เป็นเหตุที่ทำให้อัตราการเลิกไม่ดีเท่าที่ควร เพราะจากตัวเลขจากการศึกษานี้การ quit smoking ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดคือ ใช้ vape ร่วมกับวิธีมาตรฐานอื่น ๆ หากใช้ vape อย่างเดียวอัตราการเลิก smoking จะไม่ต่างจากวิธีอื่นเลย
9. ในประเทศอังกฤษ 75% ของคลินิกอดบุหรี่ใช้ vape ส่วนอีก 25% ไม่ส่งเสริมให้ใช้แต่ก็ไม่ได้คัดค้าน รวมทั้งต้องมีการสอนและอบรมผู้ที่จะนำ vape ไปใช้ในการเลิก smoking แม้แต่ร้านขาย vape และ กลุ่ม vapers ทั้งหลายด้วย
10. การศึกษานี้ไม่ได้พูดถึงผลกระทบเชิงสุขภาพ ผลกระทบเชิงการทำงานของร่างกายมากนัก เน้นไปที่ตัวเลขที่เกิดจริง และแนวทางการศึกษาควบคุมในอนาคตมากกว่า ในมุมมองของผมยังไม่มีข้อมูลใหม่มากนัก แม้ว่าพิษของ vape จะน้อยกว่า smoke ก็จริงแต่ก็ยังมีพิษอยู่ ดังนั้นถ้าเลิกได้ทั้ง smoking และ vaping จะดีที่สุด ส่วนการใช้ vape มาแทน smoking ขอให้คิดถึงผลดีผลเสีย และอย่างไรก็ควรเข้ารับการช่วยเหลือการเลิกด้วยกระบวนการมาตรฐานอยู่ดีครับ
ปล. ขอความกรุณาไม่กล่าวไปถึงประเด็นข้อกฎหมายและปมความขัดแย้งที่กำลังมีอยู่นะครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น