31 มกราคม 2561

lunar zodiac medicine

วันนี้เป็นวันพระจันทร์เต็มดวง เป็นวันพระ เป็นวันที่ทางดาราศาสตร์สนใจเรื่องพระจันทร์ใกล้โลก ทางการแพทย์เราก็มีเรื่องราวเกี่ยวกับ lunar - solar medicine ด้วยนะ

  ในสมัยอดีตราวยุคกลาง สมัยที่องค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ยังไม่กว้างขวางเท่านี้ ความเชื่อหลายอย่างทางการแพทย์มีอยู่จริงๆ ซึ่งต่อมาได้รับการพิสูจน์ด้วยกระบวนการทางสถิติการแพทย์ว่าความเชื่อนั้นอาจผิดพลาด แต่ก็น่าสนใจว่าในยุคสมัยหนึ่งก็เคยมีความเชื่อเช่นนี้และมีการศึกษาเพื่อสนับสนุนหรือหักล้างความเชื่ออย่างมีหลักการด้วย
  วันนี้วันพระจันทร์ ขอนำเรื่องพระจันทร์มาก่อนแล้วกัน  เป็นที่ทราบกันดีว่า lunar month หรือเดือนตามจันทรคติมี 28 วัน (บางที่ว่า 29.5 วัน) เป็นข้างขึ้นข้างแรมนี่แหละครับ ผู้คนในอดีตก็มีความเชื่อเกี่ยวกับรอบพระจันทร์นี้เช่นกัน

   ความเชื่ออันแรกนี้นับว่าแม่นยำเลย คือ การนับรอบประจำเดือนของสุภาพสตรีตามรอบจันทรคติ ซึ่งจะออกมาค่อนข้างแม่นยำเพราะ menstrual cycle ของมนุษย์เราก็ประมาณ 28 วันเช่นกัน ก็จะสามารถคาดเดาวงรอบประจำเดือนได้พอควร

  เคยมีข้อสังเกต คือ วิจัยนะครับแต่ไม่ได้มีระเบียบที่ดีนักพบว่า ในวันพระจันทร์เต็มดวงมีการเกิดของทารกมากขึ้น 1% แต่พอเราใช้ระเบียบวิธีวิจัยที่ดีและมีคนทำซ้ำอีกหลายครั้งก็พบว่ามันไม่ได้สัมพันธ์กัน

  ศัลยแพทย์สมัยก่อนไม่ผ่าตัดในวันพระจันทร์เต็มดวงเพราะเขาเชื่อว่าเลือดจะออกมากขึ้น ยุคใหม่ก็มีคนทำการศึกษาด้วย (เป็นงงว่าคณะกรรมการวิจัยก็ให้ผ่านด้วย) ว่าอัตราการเกิดเลือดออกและอันตรายจากการผ่าตัดในหลายๆรอบฟูลมูน หรือจะ จันทร์ครึ่งใบก็แล้วแต่ ไม่มีความสัมพันธ์กันเลย

  มีคนรวบรวมข้อมูลว่า ถ้าวันพระจันทร์เต็มดวงหรือแสงจันทร์สาดแสงมายังโลกสว่างเมื่อไร อัตราการเกิดโรคลมชักกำเริบจะเพิ่มขึ้น ต่อมาก็มีการหักล้างข้อมูลว่า มันไม่ได้เกิดจากพระจันทร์แต่มันเกิดจากท้องฟ้าที่โล่งจนเห็นแสงชัด และแสงที่ชัดๆในวันฟ้าเปิดน่าจะเป็นตัวกระตุ้น (แต่ผมว่าเพราะนอนดึก มัวแต่ดูพระจันทร์มากกว่า)

  มีคนเคยสงสัยว่ามันน่าจะเกิดจาก แรงดึงดูดของดวงจันทร์ที่มีอิทธิพลต่อน้ำในตัว เฉกเช่น ปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลง ทำให้การกระจายตัวของน้ำในเซลนอกเซลผิดไป โอ้วว....ดูดีมีหลักการ แต่ว่าก็พิสูจน์แล้วว่าไม่เกี่ยวกัน
  สรุปว่า ถ้าคุณไม่ใช่มนุษย์หมาป่า หรือชาวไซย่า ดวงจันทร์เต็มดวงไม่น่าส่งผลกระทบต่อสุขภาพนะครับ

  มาดูฝั่ง solar ดูบ้าง จริงๆเรื่องทางด้านสว่าง solar หรือ zodiac มีมากกว่าด้านมืดคือพระจันทร์นะครับ แต่วันนี้พระจันทร์เป็นตัวเอก พระอาทิตย์ก็เป็นตัวประกอบไปแล้วกัน ผมหยิบอันที่พีคมากมาเล่าให้ฟัง
  ในสมัยกลางมีตำราแพทย์ชื่อ fasciculus medicine ที่รวบรวมความรู้การแพทย์ยุคนั้น เป็นตำราที่แพร่หลายระดับ NEJM, Washington ในยุคนี้ มีอยู่หน้านึงเขียนรูป Zodiac man  คุณโซดิแอกนี้เป็นมนุษย์ที่มีรูปสัตว์ในจักรราศีหมู่ดาวมาสถิตย์อยู่ที่ตำแหน่งต่างๆ แสดงให้เห็นถึงพลังอำนาจแห่งกลุ่มดาวราศีต่างๆที่คุ้มครองร่างกายคนเราอยู่

  ศีรษะและสมอง ก็จะมีเจ้าแกะน้อยแห่งราศีเมษคอยดูแลอยู่

  แขนสองข้าง แต่ละข้างก็คือ พอลลักส์และคาสเตอร์ แห่งราศีคนคู่

  หัวใจและม้าม คือ สิงโตพ่อบ้านใจกล้า แห่งราศีสิงห์
  ...
  ...
  ไอ้ที่ท่านอยากรู้ คือ คุณปู๋และคุณปิ๋ม ...ใครคุม  เฉลยคือเจ้าแมงป่องผยองเดชแห่งราศีพิจิกนั่นเอง

  ตำราแพทย์สมัยนั้นว่า ในช่วงเวลาในจักรราศีใด ห้ามผ่าตัดรักษาอวัยวะแห่งราศีนั้น มิฉะนั้นจะสูญสิ้นพลังอำนาจและเป็นคำสาปสู่ความตาย อะวาดา เคดาฟรา !!!! เช่น การผ่ารักษาฝีที่คอ หากทำในช่วงราศีพฤษภ ที่เจ้าวัวหนุ่มคุมพื้นที่บริเวณคอนั้น รับรองว่าซี้แหงๆ
   แพทย์ยุคนั้นจึงต้องมีความรู้ด้านดาราศาสตร์ การนับเดือนจันทรา การสังเกตสุริยาราศี เฝ้าดูดาราเทวี ..พอละ ไปใหญ่

   ก็สรุปว่าความรู้สมัยนั้น อิงความสัมพันธ์ตามธรรมชาติเป็นหลัก ส่วนปัจจุบันก็มีการหักล้างไป แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีความเชื่ออยู่ประปรายเช่น มีการศึกษาตีพิมพ์ใน BMC complementary Alternative Medicine ตามที่อยู่นี้   BMC Complement Altern Med. 2017 Sep 4;17(1):440 
  ศึกษาความสัมพันธ์ของรอบพระจันทร์ในขณะผ่าตัดว่าจะมีผลต่อการรอดชีวิตในระยะยาว ของผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนไตหรือไม่ ..อันนี้ตีพิมพ์ปี 2017 นะครับ ไม่ใช่ยุคกลางแต่อย่างใด  สรุปว่าไม่มีความเกี่ยวข้องในรอบเดือนพระจันทร์ ข้างขึ้นข้างแรมและจักรราศี เราไม่ควรรีรอการผ่าตัดตาม สุริยันจันทราดารารัศมีแต่อย่างใด

  สนุกสนานเฮฮากันบ้างครับ เพจเราครบรส  สำหรับคนที่จะไปชมพระจันทร์เต็มดวงในคืนนี้และไม่มีคู่รักไปด้วย จะเพราะว่า โสด นก คาน โดนเท หรืออะไรก็ตาม ก็ขอให้จับมือตัวเองให้มั่นคง อดทนไว้ แล้วมันจะผ่านไปได้ ต้องฝึกนะครับ เดี๋ยวถึงวาเลนไทน์จะได้ไม่ช้ำมากเกินไป

บุหรี่ไฟฟ้าตามการศึกษาของ NAS

ผลการศึกษาล่าสุดของ National Academies of Sciences Engineering Medicine ได้รับการมอบหมายจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาให้ไปสรุปข้อมูลจากการศึกษาเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้าทั้งหมดเพื่อมาใช้ในการกำหนดนโยบายเรื่องบุหรี่ไฟฟ้าและได้ตีพิมพ์ข้อมูลออกมาหลายหน่วยงานก็สามารถนำไปใช้ได้ รายละเอียดมีมากมายแต่ผมจะสรุปสาระสำคัญออกมาดังนี้
   ศึกษาสองส่วน คือ ผลสรุปจากการศึกษาที่มีตอนนี้ และ ข้อแนะนำในการออกแบบการศึกษาที่ต้องการคำตอบในอนาคต  คำแนะนำเกี่ยวกับการวิจัยที่ต้องการคำตอบผมจะไม่มาสรุปตรงนี้นะครับ

  ในส่วนผลสรุปการศึกษาที่มีอยู่ตอนนี้แบ่งย่อยออกดังนี้

1. เกี่ยวกับตัวบุหรี่ไฟฟ้า ตัวผลิตภัณฑ์ กลไกการทำงาน และน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า ว่ามีมาตรฐานหรือไม่ อันตรายต่อสุขภาพหรือไม่ อันตรายแบบใด กลไกในการให้ความร้อนปลอดภัยหรือไม่ มีโลหะหนักหรือไม่ น้ำยานั้นมีมาตรฐานเพียงใด ปลอดภัยระดับใด

2. ผลกระทบต่อสุขภาพ

2.1  ผลจากสัตว์ทดลอง ผลของบุหรี่ไฟฟ้าถึงอวัยวะต่างๆของสัตว์ทดลองทั้งเทียบกับบุหรี่มวนและอากาศทั่วไป ผลต่อสัตว์ตัวอ่อนในครรภ์ ผลต่อร่างกายทั้งหมดโดยตรงและผลต่อสารเคมีหรือส่วนประกอบย่อยส่วนต่างๆของร่างกาย

2.2 ผลระยะสั้นต่อมนุษย์ ในแง่ การทำงานของระดับเซล ระดับอวัยวะต่างๆ โดยเฉพาะในระบบทางเดินหายใจ

2.3 ผลระยะยาว แต่เนื่องจากต้องใช้เวลา ทางคณะกรรมการจึงอนุโลมให้ใช้การศึกษาส่วนย่อยๆที่เวลาต่างๆมาคำนวนผลโดยรวมได้ เกี่ยวกับสุขภาพโดยรวมทั้งของผู้สูบและผู้สูบมือสอง เทียบกับไม่สูบและเทียบกับบุหรี่มวน  ผลของแม่และเด็ก และ ผลต่อการสูบบุหรี่ในเด็กและเยาวชน

3. ผลต่อระบบสาธารณสุขโดยรวม

  3.1 ผลกระทบต่อบุหรี่มวน โดยเฉพาะกับเด็กและเยาวชน

  3.2 ผลกระทบในเรื่องการลดความเสี่ยงเมื่อเทียบกับบุหรี่มวน ทั้งสุขภาพ โรคจากยาสูบ ควันบุหรี่มือสอง และ การใช้เพื่อเลิกบุหรี่

  ผลการศึกษาออกมา 42 ข้อสรุป แบ่งตามระดับความน่าเชื่อถือในระดับต่างๆ 6 ระดับตามหลักฐานที่มีดังนี้ ..สรุปได้ชัด..น่าจะเป็น..หลักฐานกลางๆ..หลักฐานสนับสนุนน้อย..ข้อมูลไม่เพียงพอ.. และไม่มีข้อมูล
  ทุกเรื่องมีคำตอบหมดแล้วแต่ระดับของข้อมูลว่าจะเป็นแบบใด

  ผมขอสรุปมาแต่ข้อมูลที่สรุปได้ชัดและน่าจะเป็น (conclusive and substantial evidence) และ ข้อมูลที่เป็นที่สนใจนะครับ ถึงแม้จะ moderate, limited, insufficient และ no data

   ♠️♠️สำหรับตัวผลิตภัณฑ์ข้อมูลส่วนมากสรุปได้ชัดเจนว่า ปริมาณนิโคติน สารประกอบที่อันตราย ที่ออกจากบุหรี่ไฟฟ้าแต่ละชนิด แต่ละน้ำยาบุหรี่ ไม่เท่ากันเลยจะมากจะน้อยขึ้นกับชนิด รุ่น และยี่ห้อของบุหรี่ไฟฟ้า (ส่วนตัวผมคิดว่าเพราะตรงนี้ยังไม่มีมารฐานกำหนดชัดและนำไปสู่ข้อกำหนดแนวทางในอนาคตว่าควรมีการศึกษาเพื่อกำหนดมาตรฐานตรงนี้)
  และควันจากบุหรี่ไฟฟ้ามีนิโคตินและสารอันตรายแน่นอน สารนั้นก็ไปเพิ่มปริมาณในอากาศรอบตัวให้เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับอากาศปรกติ
  และภายใต้การใช้งานแบบปรกตินั้นปริมาณนิโคตินที่นำส่งเข้าร่างกายและออกสู่สิ่งแวดล้อมเทียบเคียงบุหรี่มวนได้ แต่สารพิษอื่นๆน้อยกว่าบุหรี่มวนครับ

  ♥️♥️สำหรับผลต่อสุขภาพ ข้อมูลระดับสรุปชัดมีน้อยนะครับ เพราะการศึกษากระจัดกระจายมาก ไม่ได้จัดกลุ่มชัด ส่วนใหญ่เป็นผลทางอ้อม และระยะเวลาในการศึกษาไม่มากพอที่จะบอกว่า สรุปชัด
  ที่สรุปได้ชัดเจนคือผลต่อสุขภาพจากการใช้อุปกรณ์ผิดแบบหรืออุปกรณ์ที่ดัดแปลงไม่ได้มาตรฐาน อันตรายนั้นคือแบตเตอรี่ระเบิด และ พิษจากน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า (คือ e-liquid หรือ นิโคตินเหลว) หากใช้กิน ฉีด สัมผัส ทั้งเป็นพิษและเสียชีวิต (ไม่ได้ใช้ตามการใช้งานปรกติ) ทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจก็ดี ขอเสริมว่า ทาง CDC รายงานว่าการเกิดพิษนิโคตินเพิ่มขึ้นมากกว่าปกติในยุคที่มีบุหรี่ไฟฟ้า

  มีหลักฐานที่แสดงความเป็นไปได้ว่าการใช้บุหรี่ไฟฟ้าทำให้เกิด การทำงานที่บกพร่องของผนังหลอดเลือดผิดปกติที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของโรคหลอดเลือด (แต่ผลระยะยาวต่ออวัยวะต่างๆยังไม่ชัดเจน)  สารพิษในบุหรี่ไฟฟ้ามีความสามารถจะทำให้เกิดโครงสร้างดีเอ็นเอเปลี่ยนแปลงไปในแนวทางการก่อมะเร็ง แต่ว่าก็ยังไม่เห็นผลชัดจนจะประกาศได้ว่าบุหรี่ไฟฟ้าเป็นสารก่อมะเร็ง

   นิโคตินในบุหรี่ไฟฟ้าทำให้อัตราการเต้นหัวใจเร็วขึ้น  ไอของบุหรี่ไฟ้าที่ประกอบด้วยสารต่างๆนั้นโดยรวมก็ทำให้อนุมูลออกซิเจนอิสระเพิ่มขึ้น ซึ่งเจ้าอนุมูลนี้ทำให้เกิดการอักเสบต่อเนื้อเยื่อและอาจมีโรคในอนาคตได้ ซึ่งการเกิดอนุมูลอิสระจากบุหรี่ไฟฟ้าที่ว่านี้พบน้อยกว่าบุหรี่มวน

   ข้อสรุปอื่นๆที่น่าสนใจคือ สำหรับผลแห่งการเกิดโรคจริงๆนั้นหรือทำให้โรคแย่ลงนั้น โดยเฉพาะโรคหัวใจและโรคปอด มีหลักฐานที่ยังจำกัดมาก มีแต่บุหรี่ไฟฟ้าทำให้โรคหอบหืดและถุงลมโป่งพองกำเริบเท่านั้นที่มีหลักฐานพอสมควร

  ผลต่อทารกในครรภ์และแม่ หลักฐานน้อยมากๆครับ...การไม่มีหลักฐานหรือหลักฐานสนับสนุนน้อยมากๆไม่ได้หมายความว่าปลอดภัยนะครับ แต่ยังจำกัดและต้องการการศึกษาให้ชัด

  ♦️♦️สำหรับผลของบุหรี่ไฟฟ้าต่อการเริ่มสูบบุหรี่ หลักฐานที่ดีที่สุดอยู่ในระดับเป็นไปได้ คือ การสูบบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มความเสี่ยงในการสูบบุหรี่มวนของเด็กและเยาวชน  และมีหลักฐานพอสมควรว่าการใช้บุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มความถี่และระยะเวลาในการใช้บุหรี่มวนเพิ่มขึ้น
   ประเด็นนี้ในส่วนตัวของผมเห็นว่าผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้าหลายคนอาจปฏิเสธว่าไม่จริง อันนั้นเป็นความจริงของแต่ละคน ส่วนการศึกษาเป็นการรวบรวมเชิงสถิติภาพรวมนะครับ  เรื่องนี้วันหลังผมจะขอขยายความเพิ่มนะ

  ♣️♣️สำหรับการใช้เพื่อเลิกบุหรี่ มีหลักฐานอยู่พอสมควรว่าผู้ที่ใช้บุหรี่ไฟฟ้ามีโอกาสเลิกบุหรี่มากขึ้นและบุหรี่ไฟฟ้าที่ใช้นั้นเป็นบุหรี่ไฟฟ้าที่มีนิโคตินจะมีโอกาสเลิกบุหรี่ได้ดีกว่าแบบไร้นิโคติน (อันนี้อธิบายได้จากการชดเชยนิโคตินนั่นเอง คล้ายๆหมากฝรั่งหรือแผ่นแปะ)
  ส่วนที่ว่าจะนำมาใช้เป็นอุปกรณ์เลิกบุหรี่ตามมาตรฐานหรือมีการเปรียบเทียบกับอุปกรณ์มาตรฐาน หลักฐานสนับสนุนตรงนี้น้อยมาก เท่าที่ผมทราบกำลังมีการศึกษาแบบควบคุมขนาดใหญ่ทางการแพทย์กำลังทำอยู่ครับเพื่อตอบคำถามนี้ครับ

   🎲🎲สำหรับในแง่สาธารณสุขโดยรวมของประเทศพบหลักฐานพอควรว่า หากเปลี่ยนจากบุหรี่มวนมาใช้บุหรี่ไฟฟ้าทั้งหมดจะลดปริมาณสารพิษจากยาสูบลงได้มากมาย และมีหลักฐานที่เป็นไปได้สูงกว่าถ้าเปลี่ยนมาใช้บุหรี่ไฟฟ้าทั้งหมดดังกล่าวจะช่วยลดปัญหาสุขภาพได้ (แต่ยังเป็นการพิสูจน์ในระยะสั้นนะครับ)

   🀄🀄สำหรับควันบุหรี่มือสองนั้น พบว่ามีหลักฐานพอสมควรที่พิสูจน์ว่าควันบุหรี่ไฟฟ้ามีนิโคตินและสารพิษต่างๆน้อยกว่าบุหรี่มวน
  ส่วนอัตราการเสียชีวิตโดยรวมและอัตราการเกิดโรคอันเป็นปัญหาทางสาธารณสุขจากบุหรี่ไฟฟ้านั้น หลักฐานนอยและไม่เพียงพอที่จะสรุปแบบนั้นได้ครับ

   สามารถหาอ่านตัวเต็มได้จาก National Academies of Sciences, Engineering, and Medicine ที่มีให้ดาวน์โหลดทั้งฉบับแยกตามประโยชน์ ฉบับแยกตามหลักฐาน แบบสื่อมวลชน แบบสื่อออนไลน์ และข้อสรุป ผมถือว่าในวงการบุหรี่แล้ว การศึกษานี้อันนี้ถือเป็นไฮไลท์เลยทีเดียว

  ยังมีต่อไปกับ บุหรี่ไฟฟ้ากับเยาวชน และ Heat-not-Burn products

30 มกราคม 2561

มวนเดียวก็อันตราย

บุหรี่มวนเดียวต่อวันก็เสี่ยง  สองวันนี้ใครตามข่าวเรื่องบุหรี่จะเห็นพาดหัวข่าวนี้ทั้งจาก CNN,BBC และ voice of america (มีภาคภาษาไทยด้วยนะ) มันคืออะไรจะมาขยายความให้ฟัง

  ต้องเข้าใจก่อนว่าบุหรี่นับหน่วยเป็นซอง ซองละ 20 มวน หากใครสูบยาเส้นแม้ปริมาณต่อมวนจะไม่เท่าบุหรี่เป๊ะๆแต่ก็นับคล้ายๆกัน  ไม่ว่าการประเมินความเสี่ยง การติด เราใช้หน่วย packyears คือ จำนวนบุหรี่ที่สูบต่อวัน (ซอง) คูณจำนวนปีที่สูบ โดยปรกติก็จะประมาณว่า 10 packyears นี่ติดหนักเลย
   หลายๆคนก็จะสงสัยว่า ถ้าแบบนั้นการลดอันตรายจากบุหรี่ เราสูบลดลงได้ไหม  และหลายๆคนก็สงสัยว่าทำไมวิธีเลิกบุหรี่ต้องหักดิบโค่นได้ในวันเดียว ก่อนหน้านี้คำตอบคือ ไม่ได้ เพราะโอกาสสำเร็จแบบหักดิบนั้นสูงกว่ามาก วันนี้เรามีงานวิจัยจาก British Medical Journal จากดินแดนที่ทำวิจัยเรื่องบุหรี่แบบจริงจังและเสรีที่สุด

  การศึกษานี้รวบรวมการศึกษาทั้งหมด 55 การศึกษาที่ทำเกี่ยวกับความเสี่ยงโรคหลอดเลือดอันสัมพันธ์กับการสูบบุหรี่ ทั้งแบบหนึ่งมวน ห้ามวน และยี่สิบมวน ว่าสูบมากสูบน้อยเสี่ยงมากเสี่ยงน้อยหรือไม่ มาปรับตัวแปรเรื่องอายุ (เพราะอายุมากจะเสี่ยงมากขึ้น) และตัวแปรอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับโรคหลอดเลือดเช่น เพศ โรคร่วม  เอามาคำนวนเชิงสถิติและสร้างเป็นโมเดลทางคณิตศาสตร์เพื่อประมาณความเสี่ยงในการสูบระดับต่างๆ

  ผลการศึกษาออกมาน่าทึ่งมาก ว่าการสูบบุหรี่หนึ่งมวน หรือห้ามวน หรือ ยี่สิบมวนต่อวัน มีความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจและสมองทั้งสิ้น เรียกว่าไม่ว่าสูบมากหรือน้อยเพียงใดเสี่ยงหมด ระดับความเสี่ยงที่น้อยที่สุดก็เกินกว่าไม่สูบเลย..หลายเท่า..

  ชายนั้น การสูบบุหรี่หนึ่งมวนโอกาสเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ 1.74 เท่าเมื่อเทียบกับไม่สูบ และสำหรับสูบยี่สิบมวนโอกาสเกิดจะเพิ่มเป็น 2.27 เท่า ส่วนหญิงตัวเลขไม่ต่างกันคือ 2.19 และ 3.95 เท่าสำหรับสูบหนึ่งมวนและยี่สิบมวนเมื่อเทียบกับไม่สูบ
  ส่วนโรคหลอดเลือดสมอง ชายนั้นคือ 1.30 และ 1.56 เท่า และหญิงคือ 1.46 และ 2.42 เท่า ตามลำดับ
  ก่อนหน้านี้เราเคยมีการศึกษาในโรคมะเร็งปอดว่าลดการสูบลงจะลดอัตราการเกิดโรคมะเร็ง แต่สำหรับโรคหัวใจและหลอดเลือด ต่อให้คุณสูบลดลงเหลือแค่มวนเดียว ความเสี่ยงคุณลดลงไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ

  แปลว่า ควรเลิกขาด หักดิบ ถ้าจะเลิกก็เลิกเป็นศูนย์มวน การศึกษานี้มาสนับสนุนเรื่องเลิกบุหรี่ให้ชัดเจนขึ้น และผมขอแปลต่อไปกันกลุ่มผู้ใช้บุหรี่จะแปลข้อมูลผิดไป ว่าสูบมากสูบน้อยก็เสี่ยงเหมือนกัน งั้นสูบมากดีกว่า  คำสรุปนี้ไม่จริงนะครับ เพราะสูบมากคุณเสี่ยงกว่าทั้งโรคหลอดเลือดสมองและหัวใจ รวมทั้งมะเร็งด้วย ดังนั้นหลักการเลิกขาดเลิกเลยจึงยังมีประโยชน์สูงสุดอยู่ครับ

  และในสองสัปดาห์นี้มีผลการศึกษาที่เป็น ดราม่า ของประเทศไทยตอนนี้คือเรื่องบุหรี่ไฟฟ้า ทั้งสนับสนุนและคัดค้านการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในเชิงวิชาการมากมาย (เพจเราไม่มีดราม่าและการเมือง ว่ากันด้วยวิชาการล้วนๆนะครับ) โดยเฉพาะวันนี้ที่ลงหน้าเว็บของ Americam Colleges of Cardiology เกี่ยวกับผลการศึกษาของ  National Academy of Sciences ที่ทางองค์การอาหารและยาสหรัฐ ได้มอบหมาย (จ้าง) ให้ไปศึกษาผลงานวิจัยทั้งหมดเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้าเพื่อจะมากำหนดนโยบายและข้อบังคับเชิงกฎหมายที่ชัดเจน ผลออกมาแล้วน่าสนใจ น่าติดตามมาก  สำหรับผม นี่เป็นอีกหนึ่งงานวิจัยที่น่าเชื่อถือที่สุดอันหนึ่ง ใครอยากติดตาม ยกมือครับ หัวใจหนึ่งดวง ได้สักสามสิบดวงน่าจะเขียนให้อ่านกัน

"คนเราถ้าคิดจะตัดก็ควรให้มันขาด วันนึงฉันคงจะชินกับการไม่เหลือ...บุหรี่"

ตามลิงก์ตัวเต็มของงานวิจัยเรื่องบุหรี่หนึ่งมวนได้ที่นี่ อ่านฟรีนะครับ รีบโหลด  

http://www.bmj.com/content/360/bmj.j5855

29 มกราคม 2561

staff of asclepius

ตกลงสัญลักษณ์ทางการแพทย์มันเป็นอันไหน มีที่มาอย่างไร (เรื่องยาว โปรดหาเก้าอี้นุ่มๆ กาแฟอุ่นๆ คุ๊กกี้เนยสด เปิดเพลงคู่คอง แล้วอ่าน)

  หลายท่านอาจเห็นสัญลักษณ์ทางการแพทย์เป็นงูพันเสา งูพันปีก ตกลงมันคืออะไร ใครของจริง ใครเลียนแบบใครวันนี้เราจะมา ฟันธง !! เริ่มต้นอันแรกก่อนเป็นสัญลักษณ์ที่เราพบเห็นบ่อยที่สุด คือมีไม้คทาหัวไม้กลม..ที่บ้านเราเรียกไม้ตะพด..มีปีกหนึ่งคู่ มีงูสองตัวพันกันแบบฟีเจอริ่งกันอยู่ ม้วนตามแนวไม้จากล่างขึ้นบน เราเรียกสัญลักษณ์นี้ว่า caduceus
  caduceus นี้ไม่ใช่เทพแต่เป็นแอคเซสซอรี่ของเทพ เทพนั้นคือ เฮอมีส เทพแห่งการติดต่อสื่อสาร ค้าขาย เฮอมีสนี่มีปีกทั่วตัว หมวกก็มีปีก รองเท้าก็มีปีก ไม่เท้าก็มีปีก เทพเฮอมีสนี้เลื่อนที่เร็วดุจสายลมเปรียบดังคนนำสารของเทวดา ภาษาบ้านเราเรียก เมสเสนเจอร์บอย ครับ

  ไม้เท้า caduceus นี้เป็นเครื่องลางของพ่อค้าเร่ที่ต้องเดินทางรอนแรมไกล พวกโจรป่าห้าร้อยก็นับถือ นอกจากนี้ไม้เท้าคาดูเซียสนี้ยังสัญลักษณ์ของการเจรจาที่ต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์ด้วย  ดูๆมันช่างห่างไกลจากสัญลักษณ์ทางการแพทย์มากแล้วมันมาได้ไง ??

  คือในปี 1902 กองทัพสหรัฐได้เอาไม้เท้าคาดูเซียสมาใช้เป็นสัญลักษณ์ติดเสื้อว่านี่เป็นหน่วยแพทย์ทหารนะ เพราะอะไร ?? เพราะเคลื่อนที่เร็วหรือเพื่อโชคลางหรือเปล่า ไม่ใช่ทั้งนั้น เพราะความเข้าใจผิดต่างหาก
   ไม่รู้ว่าแผนกเสื้อผ้าเขาเข้าใจอะไรผิดหรือไม่ไปหยิบตราผิดมา ตราที่ควรจะเป็นสัญลักษณ์ทางการแพทย์คือ ไม้เท้าของ Asclepius ต่างหาก แต่อย่างว่าใช้แล้วนี่ ใช้ต่อไป คนอื่นๆก็เห็นกองทัพใช้คราวนี้ใช้กันใหญ่เลย ผิดกันต่อมาเรื่อยๆ ผิดกันจนกว้างขวาง ผิดกันจนเข้าใจว่านี่เป็นของจริง แต่เราลองมาอ่านเรื่องราวของ asclepius ที่เป็นต้นกำเนิดไม้เท้างูกัน

   ไม้เท้า asclepius เป็นท่อนไม้ที่แสนจะธรรมดา มีงูตัวหนึ่งตัวเดียวเท่านั้นนะม้วนเลื้อยพันเป็นเกลียวจากล่างขึ้นบน เอ๊ะ..ทำไมต้องงู เพราะในอดีตนั้นทั้งอียิปต์ กรีก เมโสโปเตเมีย เชื่อว่างูเป็นสัญลักษณ์ของการหายจากการป่วย สัญลักษณ์ของการเกิดใหม่ ก็เพราะมัน...ลอกคราบ..ได้นั่นเอง
   ดีนะที่เกิดสมัยนั้น มาเกิดที่สารขันธ์แลนด์อาจจะมีไม้เท้าติด 18 มงกุฏเพราะชอบลอกคราบเหมือนกัน

   ความเชื่อที่งูเป็นสัญลักษณ์แห่งการหาย ก็มีปรากฏในเรื่องราวของโมเสสที่ได้รับคำสั่งจากพระเจ้าให้ทำรูปงูด้วยทองแดงติดบนไม้เท้า ระหว่าที่ชาวอิสราเอลของโมเสสเดินออกจากอียิปต์หากไปพบสัตว์ร้ายใดกัด ก็ให้มองไปที่งูทองแดงบนไม้เท้านั้น ก็จะหายได้ด้วย ชื่อไม้เท้านั้นคือ Nehustan

   แต่ไม่ได้สำคัญที่ไม้เท้า มันสำคัญที่ตัว asclepius ต่างหาก asclepius คือใครและทำไมเขาจึงมีความสำคัญ

   asclepius เป็นลูกครึ่ง สมัยกรีกลูกครึ่งหมายถึงครึ่งคนครึ่งเทพ มีอำนาจดั่งเทพแต่ตายได้เหมือนคน คุณพ่อของ asclepius คือเทพอพอลโล่ เทพที่มีอำนาจในการรักษา จึงคิดได้ว่า พันธุกรรมแบบยีนเด่นของอพอลโลน่าจะถูกผ่องถ่ายมาที่ asclepius เช่นกัน ส่วนแม่ของเขาเป็นหญิงสาวเมืองมนุษย์ชื่อ coronis (แล้วไปเจอกันได้ไงเนอะ)
   ตำนานกล่าวไว้ว่า เมื่อโคโรนิสตั้งครรภ์ เธอไปแอบชอบพอกับหนุ่มมนุษย์โลกด้วยกัน ดูเรื่องราวมันช่างซับซ้อนยิ่งนัก และไม่น่าเชื่อเท่าไร แต่ก็นะเขาเขียนมาแบบนั้น อพอลโลนี่ไม่ได้รู้ระแคะระคายอะไรเลย พอมาทราบเข้าก็อารมณ์โมโหเข้าใส่ ธาตุไฟเข้าแทรก ทำการสังหารคู้ชู้รักโดยไม่ทราบว่าโคโรนิสอุ้มท้องลูกของตัวเองอยู่..

  พอสังหารเสร็จก็เห็นว่าโคโรนิสตั้งครรภ์ ...อิ๋บอ๋ายแล้ว..อพอลโลคิด ทำอย่างไรดี อย่ากระนั้นเลยจำเราจะต้องนำเด็กไปฝากกับพระเจ้าตา อพลอลโลคิดได้ดังนั้นก็ตัดสินใจทำผ่าตัดคลอด cesarean delivery ที่ถือว่าเป็นการผ่าตัดคลอดครั้งแรกในประวัติศาสตร์เทพปรณัม และที่บอกว่าไปฝากกับพระเจ้าตาก็เป็นเช่นนั้นจริงๆนะ คุณอพอลโลนำ asclepius ไปฝากให้ Chiron มนุษย์ครึ่งคนครึ่งม้า เซนทอร์เฒ่าที่เชี่ยวชาญเรื่องการรักษาเช่นกัน
  เรียกว่าพ่อแท้ๆก็มีพลังในการรักษา พ่อบุญธรรมก็เชี่ยวชาญเรื่องการรักษา จึงไม่แปลกที่ asclepius จะชอบการแพทย์มาตั้งแต่เด็ก เติบโตขึ้นมาเจ้าหนู asclepius ก็ได้ทำการรักษาคนด้วยวิธีที่ไครอนสอน ไม่ว่าจะในหมู่บ้าน ในป่า ในเมือง สนามรบ (สมรภูมิเมืองทรอยเจ้าหนูนี่ก็ไป) รักษาหายหมดโดยที่ asclepius ไม่รู้เลยว่าเป็นพลังอำนาจของอพอลโลพ่อของเขา

  นอกจากนี้ เทวีอธีนา อาสาวของ asclepius ก็ยังให้พรโดยให้ใช้เลือดของเมดูซ่าในการรักษาคนได้ เลือดจากศีรษะด้านซ้ายนั้นเป็นยาพิษ แต่เลือดจากศีรษะด้านขวากลับเป็นยาวิเศษราคา 30 บาท รักษาได้ทุกโรค

   วันเวลาผ่านไป ชื่อเสียงโด่งดังผู้คนเรียกหาและความสามารถเพิ่มพูน asclepius สามารถพาคนกลับมาจากความตายได้อีก คราวนี้ชื่อเสียงสะท้านโลกเข้าใกล้เทพเจ้าไปทุกที แน่นอนเทพเจ้าย่อมไม่พอใจ
  สองพี่น้องซุสและเฮเดส ได้รับผลกระทบโดยตรง สำหรับซูสนั้นผู้คนก็เสื่อมความนับถือ ที่ร้ายกว่านั้นศัตรูเก่าๆที่เขากำจัดไปแล้วก็กลับมาด้วย !!! เจ้าหนี้ กิ๊ก อริ กลับมาหมด ซุสไม่พอใจ  เท่านั้นไม่พอ
  เฮเดส น้องชายซุส ก็รู้สึกว่าพลเมืองนรกภูมิของเขาลดลง แรงงานเริ่มขาดแคลน เมื่อคนไม่กลัวเฮเดส คุณเฮเดสจะอ่อนแอลง

  เรียกว่ากลุ่มอำนาจเก่ายอมไม่ได้ จำต้องหาทางกำจัดเสี้ยนหนามไม่ให้เติบใหญ่ไปเบื้องหน้า ซุสก็สังหารเขา แต่เนื่องจากเป็นลูกเทพก็ต้องใช้อาวุธสังหารที่เทพพอกัน คือ สายฟ้าของซูส โดยเหตุผลของซูสช่างคล้ายเหตุผลแถวๆนี้เหลือเกิน ...หากปล่อยพลังอำนาจนี้เอาไว้สักวันหนึ่งอาจตกอยู่ในอุ้งมือคนชั่ว โลกที่จะเดือดร้อนแสนสาหัส จำเราต้องตัดไฟเสียแต่ต้นลม...

   ครับ..มันก็เลยไม่ใช่การลอบสังหาร มันเลยกลายเป็นการประหาร  พล่าผลาญหัวใจผู้ป่วยทั่วโลก แล้วซุสกับเฮเดสก็เดินไม่รู้ไม่ชี้กลับวิหารไป ชาวโลกจึงได้บูชา asclepius ต่อไป สร้างเป็นรูปเทพที่รูปงามมาก กล้ามเป็นมัด ซิกส์แพ็ค ไหล่ตัน เหงื่อระยับ หน้าคมเข้ม เส้นขนหน้าอกไรๆ อ่าห์..ซี้ดดส์
   พร้อมด้วยไม้เท้าที่เขาถือตลอด และเจ้างูน้อยที่เป็นสัญลักษณ์แห่งการหายป่วย พันไม้เท้านั้นไว้ ในหนังสือเขาจะเรียกงูว่า serpent เป็นศัพท์ในเชิงสัญลักษณ์ของงู ความมีอำนาจแห่งงู ส่วนคำว่า snake จะเป็นศัพท์ที่หมายถึงเจ้าตัวงูเอง  เชื่อว่างูมันคงรู้ว่าใครดีหรือไม่ดี ถ้าคนไม่ดี งูมักจะไปขึ้นไปอยู่บนหัว

  และนี่คือที่มาของ staff of asclepius สัญลักษณ์ทางการแพทย์ หาใช่ caduceus ที่เข้าใจผิดกันมานานไม่