13 ตุลาคม 2560

รำลึกถึง ในหลวงร.9

อีกหลายสิบปีในอนาคต
คุณหมอท่านหนึ่ง ในขณะที่ฐานะทางสังคมและหน้าที่การงานกำลังก้าวหน้า กำลังจะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดในการบริหารสาธารณสุขของประเทศ คำสั่งจะมีผลในวันพรุ่งนี้ แม้ว่าเขาจะเข้าสู่วัยชรา แต่ก็ยังคงหวั่นหวาด ประหม่า เพราะว่าทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลงหมายถึงหน้าที่รับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่และคนที่ต้องรับผิดชอบมีมากขึ้น
เย็นวันนั้นคุณหมอเดินทางไปยังจังหวัดหนึ่งที่แสนไกลตามลำพัง ขับรถกระบะขับเคลื่อนสี่ล้อเข้าไปในหมู่บ้านชายป่าโดยที่ไม่ต้องมีเครื่องนำทาง จุดหมายปลายทางอยู่ที่บ้านไม้หลังเล็กๆท้ายหมู่บ้าน บ้านไม้ชั้นเดียวตัวเรือนทาสีเหลืองหม่นๆ หลังคาบ้านเป็นแผงรับพลังงานแสงอาทิตย์ ตัวบ้านยกสูงมีพื้นที่ใต้ถุนโล่งสบาย มีแคร่ไม้ไผ่กับเก้าอี้หวาย ตะเกียงเจ้าพายุวางอยู่
คุณหมอจอดรถ เดินขึ้นไปบนบ้าน แม้ว่านานๆจะมาทีแต่ว่าคุณหมอก็จ้างชาวบ้านแถบนั้นมาคอยดูแลบ้านอยู่เสมอ ต้นไม้รายล้อมบ้านน่าร่มรื่น บ่อเลื้ยงปลานิลที่คุณหมอใช้เวลาว่างเป็นงานอดิเรกขุดทำเอง
เข้าไปในบ้าน คุณหมอเดินไปเปิดไฟที่ใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ เข้าไปไหว้พระในห้องพระ แล้วนั่งลงทำสมาธิ จากการฝึกฝนสมาธิมาอย่างยาวนาน คุณหมอเข้าสมาธิได้อย่างรวดเร็ว บรรยากาศสงบและตะวันตกดิน
หนึ่งชั่วโมงเต็ม คุณหมอลุกขึ้นด้วยหน้าตาสดชื่น อิ่มเอิบ สูดหายใจลึกๆแล้วเดินเข้าไปในห้องอีกห้อง เป็นห้องว่างไม่มีหน้าต่าง ไม่มีหลอดไฟ สภาพห้องนี้ไม่เปลี่ยนไปเลยตั้งแต่คุณหมอยังเด็ก กลางห้องมีโต๊ะกลมหนึ่งตัว เก้าอี้ไม้เก่าๆ บนโต๊ะมีที่เขี่ยบุหรี่ทำจากหยกสวยมาก และไม้ขีดไฟหนึ่งกล่อง !!
ภายในห้องเงียบๆ มืดมิดแห่งนี้ มีสิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้นมาตลอด คุณหมอทราบเรื่องราวนี้สืบทอดต่อจากคุณพ่อของเขา เล่าว่าทุกครั้งที่ท้อแท้สิ้นหวัง ไม่มีทางออก ให้มาที่นี่ แล้วจะพบกับคำตอบ
ครั้งที่คุณหมอยังหนุ่มเพิ่งเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย คุณหมอรู้สึกท้อแท้ในการเรียน เบื่อหน่ายกับการใช้ชีวิต จนอยากลาออก คุณหมอมาที่ห้องนี้ นั่งลง จุดไม้ขีดหนึ่งก้านเกิดเป็นแสงไฟสว่างวาบ เกิดเป็นภาพตัวอักษรและเสียงอันเปี่ยมด้วยพลังว่า
“ความรู้ในวิชาการ เป็นสิ่งหนึ่งที่จะทำให้สามารถฟันฝ่าอุปสรรคได้ และทำให้เป็นคนที่มีเกียรติ เป็นคนที่สามารถ เป็นคนที่มีความพอใจได้ในตัวว่า ทำประโยชน์แก่ตนเองและแก่ส่วนรวม นอกจากวิชาความรู้ ก็จะต้องฝึกฝนในสิ่งที่ตัวต้องปฏิบัติให้สอดคล้องกับสังคม สอดคล้องกับสมัยและสอดคล้องกับศีลธรรมที่ดีงาม ถ้าได้ทั้งวิชาการ ทั้งความรู้รอบตัว และความรู้ในชีวิต ก็จะทำให้เป็นคนที่ครบคน ที่จะภูมิใจได้”
หลังจากไม้ขีดดับลง ภาพอักษรกับเสียงอันทรงพลังกึกก้องนั้นก็หายไป น่าแปลกใจที่คุณหมอกลับมามีพลังในการเรียนรู้ ศึกษาในสารพัดศาสตร์จนได้มาเป็นผู้รอบรู้ที่ครบเครื่องคนหนึ่งทีเดียว
อีกสิบปี คุณหมอแต่งงานกำลังจะเริ่มชีวิตใหม่ ด้วยความที่เป็นข้าราชการเงินเดือนไม่มาก แต่คุณหมอก็อยากสร้างครอบครัวให้ดี เมื่อภาระเพิ่มขึ้นทำให้เครียดและท้อแท้ หมดทาง คุณหมอเข้ามาในห้องนี้และจุดไม้ขีดมหัศจรรย์นี้อีกก้าน ก็ปรากฏเป็นข้อความและเสียงที่ยังเปี่ยมไปด้วยมนต์ขลังเช่นเดิม
“การใช้จ่ายอย่างประหยัดนั้น จะเป็นหลักประกันความสมบูรณ์พูนสุขของผู้ประหยัดเอง และครอบครัวช่วยป้องกันความขาดแคลนในวันข้างหน้า การประหยัดดังกล่าวนี้จะมีผลดีไม่เฉพาะแก่ผู้ที่ประหยัดเท่านั้น ยังเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติด้วย”
เช่นเคย คติสอนใจที่เรียบง่ายแต่สมบูรณ์ช่วยนำทางชีวิตให้คุณหมอเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยความประหยัดไม่ฟุ้งเฟ้อ ใช้ตามกำลังเท่าที่จำเป็น จนพอสร้างเนื้อสร้างตัวได้ ครอบครัวพอมีความสุข
หลายปีต่อมาลูกของคุณหมอโตขึ้นคุณหมอสบายขึ้น มีเวลาทำงานเพื่อส่วนรวมมากขึ้น และตัดสินใจเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคม เข้าสู่งานบริหาร เพื่อต้องการผลักดันความคิดให้เป็นรูปธรรม แต่ว่า มันก็ไม่ง่ายอย่างที่คิด ในสังคมที่ต่างคนต่างไม่ฟังกัน ไม่มีใครยอมกัน ทำให้งานไม่เดินหน้าและแตกแยก คุณหมอในฐานะผู้นำรู้สึกว่าเป็นสิ่งยากที่จะทำให้ทุกคนมาร่วมมือกัน
คุณหมอตัดสินใจมาที่โต๊ะและไม้ขีดไฟวิเศษนี้อีกครั้ง เมื่อจุดไม้ขีด สิ่งมหัศจรรย์ยังคงปรากฏเช่นเดิม
“ต่างคนต่างมีหน้าที่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทำเฉพาะหน้าที่นั้น เพราะว่าถ้าคนใดทำหน้าที่เฉพาะของตัว โดยไม่มองไม่แลคนอื่น งานก็ดำเนินไปไม่ได้ เพราะเหตุว่างานทุกงานจะต้องพาดพิงกันจะต้องเกี่ยวโยงกัน ฉะนั้นแต่ละคนจะต้องมีความรู้ถึงงานของผู้อื่นแล้วช่วยกันทำ”
คุณหมอได้ใช้คำพูดนี้ไปสอนและประยุกต์ใช้กับเพื่อนร่วมงาน ลูกน้องและเจ้านาย จนสามารถทำงานใหญ่น้อยได้ประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดี
ผลงานการรักษา การบริหาร ความเอาใจใส่และคุณธรรม ทำให้คุณหมอได้รับการเลื่อนขั้นและก้าวสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้น หลายๆครั้งที่ตำแหน่งนั้นก็เอื้อประโยชน์ให้คุณหมอ สามารถหาผลประโยชน์โดยมิชอบ หรือมีประโยชน์ทับซ้อน ซึ่งอาจทำให้คุณหมอและครอบครัวสบายไปตลอด แต่ด้วยคุณธรรมในใจมันขัดแย้ง การต่อสู้ระหว่างประโยชน์ส่วนตัวกับประโยชน์ส่วนรวมเป็นไปอย่างดุดัน
เช่นเคยเมื่อเกิดความขัดแย้งในใจที่แสนจะอึดอัด ไร้ซึ่งทางออก คุณหมอก็เดินมาที่ห้องนี้อีกครั้งพร้อมนั่งลง จุดไม้ขีดไฟ
“การทำความดีนั้น โดยมากเป็นการเดินทวนกระแสความพอใจและความต้องการของมนุษย์ จึงทำได้ยากและเห็นผลช้า แต่ก็จำเป็นต้องทำ เพราะหาไม่ ความชั่วซึ่งทำได้ง่ายจะเข้ามาแทนที่ แล้วจะพอกพูนขึ้นอย่างรวดเร็วโดยไม่ทันรู้สึกตัว”
แน่นอนมันทำให้คุณหมอไม่หลงทาง ทำความดีเพื่อส่วนรวมและประเทศชาติต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง ทุกๆคนให้ความเคารพเชื่อถือ เชื่อมั่นในแบบอย่างแห่งความดีและคุณธรรมที่คุณหมอทำมาตลอด
จนกระทั่งวันนี้ วันที่คุณหมอก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของการบริหารระบบสาธารณสุขของประเทศ คำสั่งเพียงปลายปากกาสามารถพลิกชะตาชีวิตคนนับสิบๆล้าน คุณหมอกลับเข้าสู่ความสับสน ทางแยกในใจ ไม่รู้จะตัดสินใจอย่างไร จะวางนโยบายชาติให้ยั่งยืนไปถึงลูกหลานได้อย่างไร
ในวันพรุ่งนี้งานใหม่จะเริ่ม แต่วันนี้คุณหมอยังคงนั่งอยู่ในห้องมืดมิด หนาวเย็น
คุณหมอหยิบไม้ขีดออกจากกลัก แล้วจุดหนึ่งก้าน สิ่งมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้นอีก ไม่ว่าจะเกิดอีกกี่ครั้งก็ยังเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่ช่วยชี้ทางคุณหมอได้เสมอ
“เศรษฐกิจพอเพียงเป็นเสมือนรากฐานของชีวิต รากฐานความมั่นคงของแผ่นดิน เปรียบเสมือนเสาเข็มที่ถูกตอกรองรับบ้านเรือนตัวอาคารไว้นั่นเอง สิ่งก่อสร้างจะมั่นคงได้ก็อยู่ที่เสาเข็ม แต่คนส่วนมากมองไม่เห็นเสาเข็มและลืมเสาเข็มเสียด้วยซ้ำไป”
คุณหมอยิ้มออก เขาเคยคิดมาแล้วเรื่องความสมถะ แต่การได้มาเห็นข้อความและเสียงจากเปลวไฟนี้ ทำให้คุณหมอมั่นใจว่าแนวนโยบายที่จะทำนั้น ถูกต้อง ถาวร และ มีประโยชน์อย่างแท้จริง
คุณหมอก้มมองดูในมือ ไม้ขีดไฟเหลืออีกเพียงสองก้าน เรื่องราวแห่งความมหัศจรรย์คงกำลังจะหมดลงไป แม้ว่าไม้ขีดจะหมดไป แต่คุณหมอก็มั่นใจว่าทุกๆข้อความและคำพูดจากทุกก้านของไม้ขีด ที่คุณหมอนำมาปฏิบัติตัว นำมาสอนลูกหลาน คนไข้ ชาวบ้าน ตลอดจนนำมาเป็นแนวทางการบริหารและพัฒนาประเทศ จะยังคงอยู่สืบไป
คุณหมอนึกอธิษฐานในใจว่า ก้านก่อนสุดท้ายนี้ ขอให้เป็นคำพูดคำสอนที่เขาจะไปสอนกับประชาชนและไปสอนกับเจ้าหน้าที่ในงานสาธารณสุขทุกระดับ ทุกคน แล้วคุณหมอก็จุดไม้ขีด….
“ถ้าคนเรามีสุขภาพเสื่อมโทรม ก็จะไม่สามารถพัฒนาชาติได้ เพราะทรัพยากรที่สำคัญของประเทศชาติ ก็คือ พลเมือง นั่นเอง “
คุณหมอผู้ชรา ที่กำลังจะกำอนาคตทางสาธารณสุขของประเทศไทย ใบหน้าอิ่มเอิบราวกับคนหนุ่ม พลังแห่งการต่อสู้ พลังแห่งการทำดี กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ความประหม่าหายไปสิ้น เต็มไปด้วยความมั่นใจแห่งบทโอวาททั้งหลายเหล่านี้
คุณหมอลุกขึ้น ในมือถือไม้ขีดอันสุดท้าย ไม้ขีดวิเศษที่เป็นสิ่งตกทอดมาตลอด ไม้ขีดที่ได้สอนเรื่องราว สอนคติ สอนมารุ่นต่อรุ่น ไม้สุดท้ายแล้วนะ ถ้าเขาจุด ก็จะไม่มีไม้ขีดนี้อีกตลอดไป แต่หากทุกคนทำตามคำสอนแห่งไม้ขีด ชีวิตทุกคนและประเทศเราก็จะผาสุกอย่างแน่นอน
คุณหมออธิษฐานครั้งสุดท้ายต่อหน้าไม้ขีด ว่าเขาขอพบเจอ คนที่เป็นต้นเรื่องราวที่ดีงาม ที่มาบรรจุไว้ในไม้ขีด คุณหมอมือสั่น จรดไม้ขีดที่ข้างกล่อง เขาหลับตาแล้วค่อยๆเลื่อนมือขีดกับข้างกล่อง จังหวะที่ไฟลุกโชน สว่างกว่าทุกครั้ง โชติช่วงกว่าก้านใดๆที่จุด คุณหมอลืมตาขึ้นมองเห็นภาพนั้น แล้วทรุดตัวลง น้ำตาไหลเป็นสายธาร
พระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ ในหลวงรัชกาลที่เก้า กับพระบรมราโชวาทที่พระองค์สอนเหล่าพสกนิกรอันเปรียบเสมือนพ่อสอนลูก ปรากฏแจ่มชัด สุกใสสว่าง
แต่ทว่าเมื่อหมดก้านไม้ขีด ภาพนั้นก็จะเลือนหายไป หากแต่พระบรมราโชวาท ยังกึกก้องอยู่ในใจพสกนิกร ยังเป็นคำสอนที่ล้ำค่าให้พึงปฏิบัติ ตราบชั่วกาลนาน….

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น