30 พฤศจิกายน 2567

ความน่าเชื่อถือของผลิตภัณฑ์อาหารเสริมและคอร์สวิธีกินอาหาร

 คุณหมอคะ นี่คือเอกสารวิชาการของผลิตภัณฑ์ของเราค่ะ

ผมลองขอเอกสารอ้างอิงความน่าเชื่อถือของผลิตภัณฑ์อาหารเสริมและคอร์สวิธีกินอาหารของผู้ผลิตยี่ห้อหนึ่งมาดู ผมไม่ได้เฉพาะเจาะจงเอกสารชนิดใด ทำตัวเหมือนผู้สนใจคนหนึ่ง แล้วลองอ่านเอกสารจำนวน 5 ฉบับจากสองผลิตภัณฑ์และหนึ่งคอร์สอาหาร
ผมสรุปข้อสังเกตทั้งห้าเอกสารมาให้นะครับ เผื่อใครมีประสบการณ์แบบเดียวกัน จะได้นำไปใช้
1.การตรวจวัดสารเคมีใดในเลือด ไม่สามารถบอกถึงภาวะสุขภาพได้ครับ สารเคมี ยา หรืออาหาร เมื่อกินเข้าไประยะเวลาหนึ่งแล้วส่งผลต่อสารเคมีใดในเลือด อันนี้เราเรียก surrogate คือตัวกลางการศึกษา อาจจะพอบอกคร่าว ๆ ได้แต่ไม่ได้หมายความว่าสุขภาพดีขึ้นหรือโรคลดลง เช่น กินอาหารนี่แล้ว โคเลสเตอรอลลดลง เม็ดเลือดขาวที่บ่งชี้การอักเสบลดลง ก็อาจจะลดลงจริง แต่ยังไม่สามารถแปลผลไปมากกว่านี้ และแปลผลไม่ได้ว่าจะทำให้สุขภาพดี อัตราการป่วยหรือตายลดลง
2.การศึกษาทางวิทยาศาสตร์จะต้องเฉพาะเจาะจง อะไรที่มีรายละเอียดปลีกย่อย ต้องแจงแจงว่าแต่ละรายละเอียดปลีกย่อยมีผลต่อการศึกษาหรือคิดแยกแล้วมันไปทางเดียวกันกับการศึกษารวมหรือไม่ เช่น การกินมังสวิรัติ ก็ต้องแจงแจงชนิดให้ครบ เช่น มังสวิรัติแบบกินไข่ได้ มังสวิรัติแบบกินไข่และนมได้ มังสวิรัติเคร่งครัด มังสวิรัติยืดหยุ่น และความเป็นจริงแห่งการศึกษาจะจริงแค่กลุ่มที่ศึกษา จะแปลความมากกว่านั้นไม่ได้
3.การศึกษาทั้งหมดที่อ่าน (และส่วนมากที่ผมพบ) เป็นการศึกษาแบบเก็บข้อมูลช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง (cross-section) เก็บข้อมูลย้อนหลัง (retrospective) รวบรวมข้อมูลผู้ที่ใช้สารแต่ไม่ได้มีการเปรียบเทียบ (case series) เช่นบอกว่ารวบรวมข้อมูลจากผู้ใช้อาหารเสริมนี้ 20 ราย พบว่าสารนี้ในร่างกายดีขึ้น แบบนี้อาจมีอคติได้ เพราะไม่ได้มีการเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุมเคย
4.ผมเคยอ่านการศึกษาแบบนี้ รูปแบบชุดอาหารที่เขานำเสนอ เปรียบเทียบกับกลุ่มคนที่กินอาหารปกติ แล้ววัดเทียบมวลไขมัน ผลเลือด แล้วพบว่ากลุ่มที่กินอาหารที่เขานำเสนอมีผลดีกว่า สิ่งหนึ่งที่ต้องคิดคือ unblind และ allocation เพราะคนที่กินอาหารที่เขาบอกว่าเป็นอาหารสุขภาพก็มักจะรู้ว่าต้องปฏิบัติตัวเพื่อสุขภาพด้วย กลุ่มคนกลุ่มนี้จึงมีผลลัพธ์ที่ดีกว่าเนื่องจากเขาปฏิบัติตัวแง่อื่นด้วย หรือหากเขาเก็บข้อมูลกลุ่มคนที่กินอาหารสุขภาพตามคอร์ส เทียบกับประชากรปกติ ก็ต้องเข้าใจว่าคนที่จะมาเลือกอาหารสุขภาพ เขามีแนวโน้มจะรักษาสุขภาพดีอยู่แล้ว จึงอาจมีผลลัพธ์ที่ดีกว่าได้
5.ก่อนที่เราจะนำผลการศึกษามาใช้กับตัวเรา ดูด้วยว่าเขาศึกษาในกลุ่มประชากรใด เอามาใช้กับเราได้ไหม ไม่ใช่ทำการศึกษาในผู้ป่วยทั่วไป คัดกรองแล้วไม่มีโรค แข็งแรงดี แล้วได้ผล แบบนี้จะมาใช้กับคนที่เป็นเบาหวาน เป็นโรคอ้วน กินยาโรคประจำตัวใด ๆ แบบนี้ผลการศึกษาจะแปลมาถึงคนที่ใช้โดยไม่ตรงกับประชากรที่ศึกษาไม่ได้นะครับ
6.ทั้งห้าเอกสาร ผมลองไปเปิด supplementaryซึ่งเจอแค่วารสารเดียว และไม่ได้อธิบายด้วยว่า คำนวณกลุ่มตัวอย่างแบบไหน แล้วที่ตีพิมพ์นี้ได้ตามเกณฑ์วิชาสถิติไหม เท่าที่อ่านวารสารกลุ่มนี้ มักจะมีกลุ่มตัวอย่างขนาดปริมาณไม่มาก 20-40 คนเท่านั้น ซึ่งมันอาจจะได้เกณฑ์ตามวิชาสถิติก็ได้นะ แต่ควรจะมีการแสดงให้ดู ไม่อย่างนั้นจะรู้ได้อย่างไรว่ากรรมวิธีนั้นดีพอ
7.อาหารเสริมในรูปแบบต่าง ๆ เป็น ultra processed food อย่างแน่นอน สารอาหารที่ระบุในฉลากก็คงจะตรงตามที่แจ้งแน่นอน แต่ก็ต้องพิจารณาด้วยว่า องค์ประกอบอื่นที่เพิ่มเข้ามา กระบวนการอื่น ๆ ที่เพิ่มเข้ามามันจะส่งผลหรือไม่ ไม่ว่าการเอาอาหารมาผ่านกรรมวิธี ย่อย ปั่น ผสม บด ใช้สารเคมี ความร้อน แรงดัน เพื่อให้ได้ตามรูปแบบผลิตภัณฑ์ มันจะห่างไกลจากแนวทางอาหารที่นานาชาติแนะนำคือ ลด processed food ให้มากที่สุด ประเด็นนี้ก็น่าคิด
8.บางผลิตภัณฑ์ เอาเอกสารทางยาและการจดทะเบียนของ สารเดียวกันยี่ห้ออื่น เช่นเอาเอกสารรับรอง เบต้าแคโรทีน ให้ใช้เป็นอาหารเสริมได้จากต่างประเทศ แล้วมาบอกว่าผลิตภัณฑ์ฉันก็เบต้าแคโรทีนนะ อ้างอิงเหมือนกัน เอาล่ะ มันไม่ใช่ยาที่จะต้องทำการทดสอบความเท่ากัน (bio-equilavent study) และการจดทะเบียนอาหารเสริมก็ไม่ได้เคร่งครัดเหมือนยา แต่จะมาอ้างอิงทุบดินแบบนี้ ผมว่าก็ไม่ดี เพราะรูปแบบไม่เหมือนกัน
มันก็คงไม่ใช่ทุกคนที่มาอ่านเอกสารแบบนี้ ผมก็ไม่ได้อยากจะไปแฉหรือวิจารณ์ใด ๆ แค่อยากรู้ว่าในฐานะคนทั่วไป เราจะสามารถรู้ข้อมูลของผลิตภัณฑ์ได้ระดับใดบ้าง เขาเอาอะไรมาให้เราผู้บริโภคดูบ้าง
ผมว่าอนาคต อาชีพ ที่ปรึกษาสุขภาพ แบบที่ต้องอบรมและสอบ คงจะต้องมาแน่ คล้าย ๆ ที่ปรึกษาการเงิน ท่ามกลางข้อมูลมหาศาลแบบนี้เราต้องมีสติ คิดวิเคราะห์แยกแยะให้ดีนะครับ

27 พฤศจิกายน 2567

งูเขียวหางไหม้

 เมื่อเช้าเจองู เลยมาเล่าสู่กันฟัง

เมื่อเช้ามีงูเขียวหางไหม้ ตัวขนาดปานกลาง มาเกาะที่ทะเบียนรถจักรยานยนต์ รัดแน่นเชียว กว่าจะไล่ไปได้ ก็ใช้เวลาสักพัก เลยมาเล่าเรื่องงูเขียวหางไหม้ให้ฟัง
1.งูเขียวหางไหม้ มีพิษต่อระบบแข็งตัวเลือด นับว่าพิษอ่อน และการกัดทุกครั้งไม่จำเป็นต้องเกิดพิษ แต่มักจะบวมแดงจากการกัดและเอนไซม์สลายเนื้อเยื่อในน้ำลายงู
2.พิษงูเขียวหางไหม้ ทำหน้าที่คล้ายโปรตีน thrombin ในร่างกาย แล้วโปรตีนทรอมบิน ทำอะไร มันไปเปลี่ยนโปรตีน fibrinogen ที่ล่องลอยอยู่ ให้กลายเป็น fibrin เพื่อเอาไฟบรินไปเกาะที่รอยแผล เกิดเป็นลิ่มเลือดอุดรอยแผลและหยุดเลือด
3.แต่พิษงูเขียวหางไหม้ มันแค่คล้าย มันสามารถไปเร่งการเปลี่ยน fibrinogen ให้เกิดเป็น fibrin อย่างมากมาย ที่สำคัญคือเป็น fibrin ไม่สมประกอบด้วย เจ้าไฟบรินที่ได้มานี้มันจะไม่มี fibrinopeptide A ส่วนสำคัญที่จะไปเกาะร่างประสานเป็นลิ่มเลือด
4.ทำให้เมื่อเกิดพิษจากงูเขียวหางไหม้ จะมีการสลาย fibrinogen มากมายจนเกิด hypofribrinogenemia หรือ fibrinogen ต่ำมาก การตรวจวัดระดับ fibrinogen จึงเป็นการตรวจว่าเกิดพิษหรือไม่ มีความไวความจำเพาะสูงมาก ข้อเสียคือทำยาก ทำได้ไม่กี่ที่ในไทย
5.และที่มันเลือดออก ก็เพราะ fibrinogen ก็หมด แถม fibrin ที่ได้ก็ไม่เกาะกลุ่มกัน ไม่ทำงานเสียอีก วัตถุดิบก็หมด ผลิตภัณฑ์ที่ได้ก็เสีย จึงเกิดภาวะขาดการแข็งตัวเลือดอย่างรุนแรง เลือดจึงออกง่าย หรือออกเองได้เลย
6.การตรวจเลือดที่ดีมากคือ ระดับ fibrinogen มันทำยาก ก็มาถึงการตรวจต่อไปคือการตรวจ thrombin clotting time หรือ thrombin time ที่หากเวลาการแข็งตัวเลือดยาวนานจากการทดสอบนี้ แสดงว่ากระบวนการ fibrinolysis ผิดปกติ หนึ่งในนั้นคือการขาด fibrinogen ซึ่งตรงกับข้อ 4 แต่การตรวจ thrombin time ก็นานและทำได้ไม่ทุกที่
7.ก็มาถึงการตรวจที่นิยมทำ คือ 20 minutes whole blood clotting time เจาะเลือดตั้งทิ้งไว้ 20 นาที ถ้าเลือดไม่แข็ง จะสัมพันธ์กับระดับ fibrinogen ที่ต่ำโดยเฉพาะถ้า fibrinogen ต่ำกว่า 100 อันนี้มีความจำเพาะถึงเกือบ 100% จึงบอกได้ว่าถ้างูเขียวหางไหม้กัด แล้วทำการทดสอบนี้และผลบวกคือเลือดไม่จับตัว โอกาสเกิดพิษสูงมาก แนะนำใช้ยาต้านพิษได้
Tongpoo A, Niparuck P, Sriapha C, Wananukul W, Trakulsrichai S. Utility of Thrombin Time in Management of Patients with Green Pit Vipers Bite. SAGE Open Med. 2020 Oct 21;8:2050312120966468. doi: 10.1177/2050312120966468. PMID: 35154756; PMCID: PMC8826260.
8.แต่การให้ยาต้านพิษ คือ แอนติบอดี ที่จะไปจับกับโปรตีนพิษงู เพื่อทำให้พิษงูไม่ทำงาน แอนติบอดีนี้มาจากสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่มนุษย์ จึงมีโอกาสเกิดปฏิกิริยาต่อต้านรุนแรง และรุนแรงกว่าพิษงูได้ การใช้จึงต้องอยู่ภายใต้การควบคุมและใช้เมิ่อถึงที่สุดแห่งความจำเป็นเท่านั้น **ไม่จำเป็นต้องได้เซรุ่มต้านพิษงูทุกราย**
9.ในกรณีเกิดพิษ + เลือดออก + ไม่มียาต้านพิษ มีการรวบรวมการศึกษาอยู่บ้าง ปริมาณน้อยและไม่ได้เป็นการทดลอง พบว่า การใช้สารแข็งตัวเลือด FFP, PCC ช่วยหยุดเลือดได้ แต่ไม่ได้ทำให้กระบวนการเกิดพิษมันหยุดลง ต้องรอพิษหมดจึงจะดีขึ้น แต่ส่วนมากการศึกษาทำในงูแมวเซานะครับ เพราะความรุนแรงมากกว่างูเขียวหางไหม้
10. อ่านมาถึงตรงนี้ ผมคิดว่าทุกคนคงมีคำถามเดียวกัน ที่อยากรู้ที่สุดคือ …ทะเบียนรถผมเลขอะไร…ใช่ไหมครับ

23 พฤศจิกายน 2567

ความทรงจำ..มันไม่มีทางเลือนได้

 ความทรงจำ..มันไม่มีทางเลือนได้

ครูบาอาจารย์ที่พร่ำสอนผมมา ได้สอนเสมอว่า เมื่อคนไข้ที่เราดูแลเกิดเสียชีวิต เราต้องเข้าใจ ทำใจ และวางใจเป็นกลาง เพื่อเดินหน้าต่อไป
แต่มันไม่ง่ายแบบนั้น
หลายปีก่อนผมรับดูแลผู้ป่วยรายหนึ่ง เป็นสุภาพสตรีอายุ 60 ปี ป่วยเป็นโรคเบาหวาน ความดัน ไตเสื่อมแต่ยังไม่ต้องฟอกไต ผู้ป่วยตรวจพบมะเร็งเต้านม เข้ารับการรักษาด้วยการผ่าตัด และให้ยาเคมีบำบัด หลังให้ยาเคมีบำบัด จะมีอาการอ่อนเพลีย คลื่นไส้อาเจียนรุนแรง ต้องมาปรับสภาพร่างกาย
กำหนดให้ยาเคมี 6 รอบ จนผมเข้าใจและรู้จักพื้นฐานผู้ป่วยดี ผู้ป่วยและญาติก็ไว้ใจ จนสิ้นสุดการให้ยาเคมีครั้งที่ 6 ผู้ป่วยอ่อนเพลียมาก มาเข้ารับการรักษาอีกครั้ง และบอกกับผมว่า ให้เคมีครั้งสุดท้ายแล้ว พอรักษากับคุณหมอหายดีแล้ว ขอไปเที่ยวทะเล
ผมก็บอกว่าได้เลย และยิ้ม พูดคุยเหมือนทุกรอบ แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อน
ผู้ป่วยอ่อนเพลีย อาเจียนรุนแรงมาก ตามมาด้วยไข้สูง เหนื่อย ความดันโลหิตตก และเข้าสู่ภาวะช็อกติดเชื้อ ต้องเข้ารับการรักษาในไอซียู
ผู้ป่วยต้องใส่ท่อช่วยหายใจ ให้ยาเพิ่มความดัน ให้ยาฆ่าเชื้อเต็มขนาด ใส่สายสวนที่คอ ลูกสาวคนไข้บอกว่า “คุณหมอ ฝากแม่ด้วยนะคะ”
คืนนั้นผมตัดสินใจฟอกเลือดให้ผู้ป่วย ในขณะที่กำลังใส่สายสวนที่ขาหนีบเพื่อฟอกเลือด ซึ่งผมใช้การคลำชีพจรเพื่อหาตำแหน่งใส่สาย
ขณะคลำชีพจร … ชีพจรก็หยุดคามือผมเลย
กระบวนการกู้ชีพเกิดขึ้น แต่สุดท้ายผมช่วยผู้ป่วยไม่ได้และเสียชีวิต ทั้งที่ก่อนหน้านี้ผมยังสัญญาว่าเมื่อหายดีและให้ผู้ป่วยไปเที่ยวทะเล
นานหลายปี แต่ความทรงจำนี้ก็ยังตราตรึงในความทรงจำผมมาตลอด ทุกนาทีที่เกิดเหตุ และปรากฏขึ้นทุกครั้งเมื่อใส่สายสวนหลอดเลือด
เรื่องน่ายินดีและเรื่องเศร้าไม่เคยจางหายไป แม้ผมจะผ่านมันไปได้ ดำรงชีวิตต่อได้ และในวันนี้…
ผมมีเพื่อนสนิทอยู่สองคน ที่เราหัวหกก้นขวิดมาด้วยกัน ผ่านเรื่องแย่เรื่องดีสารพัดเรื่องด้วยกัน จนเพื่อนคนหนึ่งล้มป่วยหนัก ติดเตียง สมองกระทบกระเทือนรุนแรงมาก จนจำกันไม่ได้ สื่อสารไม่ได้
วันนี้ หนึ่งในพวกเรามีความยินดีในชีวิตกับงานมงคลสมรส ผมเดินทางไปยินดีเงียบ ๆ ที่โต๊ะไกลสุด สำหรับพวกเราแค่เห็นหน้าว่ามาถึง ไม่ต้องพูด ไม่ต้องพร่ำพรรณา เราก็เข้าใจความหมายกัน
ผมยินดีมาก ที่เพื่อนประสบความสำเร็จและสมหวัง แต่ในเวลาเดียวกัน ผมก็มองเห็นเก้าอี้ว่างตัวหนึ่ง และคิดในใจว่า…
ถ้าเพื่อนไม่ป่วย ถ้าเพื่อนมาได้ ที่นั่งตรงนั้นคงเห็นเพื่อนนั่งอยู่อย่างแน่นอน เราคงมาปรากฏตัวให้เจ้าบ่าวได้ยิ้ม เมื่อเห็นเราสองคนมานั่งยิ้มทะเล้น ๆ อยู่ตรงนั้น
แต่วันนี้ เก้าอี้ตัวนั้นว่างเปล่า
ครับ..ความทรงจำของเรา ไม่เคยจางหายไป และยังปรากฏเป็นภาพแห่งความสุขที่เราเคยมีความสุขร่วมกันเสมอ
ไม่ว่าจะนานเพียงใดก็ตาม

22 พฤศจิกายน 2567

เรื่องเล่าจากคลินิก : พลังครอบครัว

 เรื่องเล่าจากคลินิก : พลังครอบครัว

ใกล้ถึงเวลาปิดทำการของคลินิก ลูกจ้างร้านกำลังเก็บกวาดและเช็ดโต๊ะ มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น สอบถามว่าคลินิกปิดกี่โมง คุณหมอกลับหรือยัง มีเรื่องปรึกษาด่วน ลูกจ้างตอบกลับไปว่า กำลังจะปิดแล้ว แต่ถ้าด่วนมาก คุณหมอจะรอช่วย ได้ความว่ากำลังมา ใช้เวลาอีกไม่เกิน 10 นาที
10 นาทีต่อมา
สุภาพบุรุษอายุประมาณ 20 ต้น ๆ รูปร่างท้วมสวมเสื้อยืด กางเกงขาสั้น ก้าวลงมาจากรถยนต์ตำแหน่งคนขับ ตามมาด้วชายหญิงคู่หนึ่งอายุประมาณ 50 ปี เดินเข้ามา
"สวัสดีครับ มาพบคุณหมอ ที่โทรมาเมื่อสักครู่ครับ" สุภาพบุรุษกล่าวอย่างใจเย็น แต่ชายหญิงอีกคู่ดูร้อนรนมากกว่า
"เชิญนั่งเลยครับ ผมรบกวนขอบัตรประชาชนเพื่อลงทะเบียนประวัติด้วยครับ" ลูกจ้างประจำกล่าวต้อนรับและถามว่า "พบคุณหมอท่านเดียวหรือครับ"
สุภาพบุรุษหนุ่มท่านนั้นตอบว่า "ครับ สองคนนั้นเป็นพ่อกับแม่ มาด้วยกัน"
หลังจากอยู่ในห้องตรวจ สรุปประวัติถามไถ่ได้ว่า สุภาพบุรุษนามสมมติ คุณ ก. ได้มีเพศสัมพันธ์กับสุภาพบุรุษอีกท่าน เมื่อสองวันก่อน ด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจจึงมีเพศสัมพันธ์แบบไม่สวมถุงยางอนามัย
แต่เรื่องมาแดงว่าคู่นอนของคุณ ก. มีคู่นอนทั้งชายหญิงอีกหลายคน และแดงเมื่อเช้านี้เอง คุณ ก. จึงกลัวว่าตัวเองจะติดเชื้อ HIV สืบค้นหาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตแล้วทราบว่ามีวิธีกินยาหลังสัมผัสเชื้อ จึงไปสถานพยาบาลใกล้บ้านแห่งหนึ่ง ตรวจไม่พบเชื้อ HIV และคุณหมอให้มาพบอายุรแพทย์เพื่อตัดสินใจรับยาต้านไวรัส
"นับเวลาแล้ว ถึงแม้จะนานแต่ยังมีประโยชน์จากการให้ยาครับ รวมถึงการตรวจโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์อื่น รวมทั้งต้องติดตามหลังให้ยาว่าสามารถป้องกันได้ไหม เพราะตรวจตอนนี้ผลอาจยังเป็นลบอยู่" ลูกจ้างอธิบาย
"ผมขอให้พ่อแม่เข้ามาฟังและช่วยตัดสินใจด้วยได้ไหม" คุณ ก. ถาม
"แต่เรื่องพวกนี้ละเอียดอ่อนและเป็นความลับของคนไข้นะครับ" ลูกจ้างหน้าหนุ่มถามย้ำ
"ครับ ผมปรึกษาพ่อแม่ ท่านเป็นห่วงและเข้าใจ เลยพากันมาปรึกษาคุณหมอเรื่องยาต้าน ช่วยกันนับเวลามาด้วย" คราวนี้สีหน้าของคุณ ก. มั่นใจขึ้นและมีความเชื่อมั่นเต็มที่
พ่อกับแม่ของคุณ ก. ประคองกันเข้ามา นั่งฟังคำอธิบายพร้อมวาดรูปประกอบ เรื่องโอกาสการติดเชื้อทั้งเอชไอวีและโรคอื่น การใช้ยาเพื่อป้องกัน ผลแทรกซ้อนและความตั้งใจกินยาอย่างเคร่งครัด การป้องกันโรค และการตรวจติดตาม
เนื่องจากเสี่ยงสูง เพราะไม่ทราบสถานะ HIV ของคู่นอน เพราะเป็นเพศสัมพันธ์ทางทวารหนักของชายที่ความรุนแรงจะสูงกว่าปกติ เพราะเป็นฝ่ายรับการสอด (เสี่ยงมากกว่าฝ่ายสอด) จึงให้ยาต้านไวรัส tenofovir/emticitabine/dolutegravir อันเป็นสูตรมาตรฐานในการป้องกัน post exposure prophylaxis ในกลุ่มเสี่ยงสูง พร้อมนัดและติดตามผล HIV ซ้ำ
หลังจากคุย ทั้งสามคนดูมีความหวังขึ้น การสนทนามีการมองหน้ากัน เป็นห่วงเป็นใยกันตลอด จนถึงวันนัดหลังจากยาหมด ทั้งสามคนปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง และผลปรากฏว่าผลทุกอย่างเป็นลบ
คุณพ่อของคุณ ก. "ดีใจมากเลยครับ วันนี้พอเสร็จจากคุณหมอ เราจะไปแก้บนที่ย่าโม ผมเป็นห่วงลูกมาก รอลุ้นกับแฟนมาตลอด"
คุณแม่คุณ ก. ที่น้ำตาซึม "ดีใจจริง ๆ ค่ะ"
คุณพ่อคุณ ก. "คนเรามันพลาดกันได้ นี่ก็ช่วยกันดูแลและให้กำลังใจลูก เหมือนยกภูเขาเลย คุณหมอ"
คุณ ก. "เพราะหลงไว้ใจจริง ๆ ผมผิดพลาดเอง โชคดีที่พ่อกับแม่รับได้และเข้าใจ ต่อไปคงไม่พลาดอีกแล้ว"
หลังจากอธิบายว่าต้องตรวจอย่างไรต่อไป และอธิบายทั้งครอบครัวถึงวิธีการป้องกันแบบชายรักชาย การเลือกชนิดถุงยางอนามัย การเลือกสารหล่อหลื่น และการกินยาป้องกันก่อนสัมผัสโรค และบอกว่าการมีเพศสัมพันธ์ทำได้ แต่ต้องป้องกันให้ถูกวิธี
ครอบครัวคุณ ก. "มันมีรายละเอียดเยอะมาก ไม่ทราบมาก่อนเลย ขอบคุณคุณหมอมาก จะได้ป้องกันและไม่หลงเชื่อใครอีก"
ลูกจ้าง "ครับ คุณ ก. โชคดีมากที่มีครอบครัวคอยสนับสนุนให้กำลังใจ ไม่ทอดทิ้งกัน แบบนี้ไม่ยากครับ" จริงแบบนั้น ถึงแม้ผลการตรวจจะออกมาเป็นเอชไอวี คุณ ก. ก็จะมีชีวิตต่อไปอย่างมีความสุขแน่นอนเพราะครอบครัวเข้าใจและช่วยเหลือ เป็นที่ปรึกษา เป็นกำลังใจ บรรเทาทุกข์ เสริมความสุข และไม่หันเหไปในทางอบายมุขหรือหลงเชื่อสิ่งผิด
ทั้งสามคนเดินออกไปจากร้าน โอบกอดกันออกไปขึ้นรถ เป็นภาพที่ดีที่ประทับใจและเป็นความสุขของลูกจ้างท่านนั้น อันมีค่ามากกว่าเงินทองตอบแทน
ลูกจ้างท่านนั้นเดินไปส่งที่ประตู ยิ้มอย่างมีความสุขแล้วเดินไปหยิบไม้กวาดคู่กาย ไม้ตักผง และผ้าเช็ดโต๊ะเก้าอี้ ปฏิบัติหน้าที่ตัวเองต่อไป

21 พฤศจิกายน 2567

ให้ยาฆ่าเชื้อ 7 วัน หรือ 14 วัน : BALANCE trial

 ให้ยาฆ่าเชื้อ 7 วัน หรือ 14 วัน : BALANCE trial

ผู้ป่วยติดเชื้อในกระแสเลือดที่ต้องเข้ารับยาในโรงพยาบาล เราจะให้ยาอย่างน้อย 14 วันเพื่อยืนยันให้สบายใจว่า กำจัดเชื้อ โดยให้ยาตรงเชื้อ ให้ยาได้ขนาด ให้ยาได้เวลาเหมาะ เราใช้เกณฑ์ทางเภสัชวิทยามาคิดระยะเวลา 14 วัน
ประเทศออสเตรเลียและนิวซีแลนด์เขาจึงทำการวิจัย นำผู้ป่วยติดเชื้อกระแสเลือด (คือเพาะเชื้อขึ้น) ที่ไม่ซับซ้อน ไม่ใช่ผู้ป่วยภูมิไม่ดี ส่วนมากติดเชื้อจากชุมชน จำนวน 3608 ราย แบ่งครึ่ง กลุ่มทดลองให้ยา 7 วัน กลุ่มควบคุมให้ยา 14 วัน
โดยเลือกยา “ตามวิจารณญาณทีมแพทย์แต่ละศูนย์วิจัย” ปรับขนาด ปรับวิธีตามแต่ละที่ แล้ววัดผลอัตราการเสียชีวิตที่ 90 วัน
ผลปรากฏว่า การให้ยา 7 วันไม่ด้อยกว่าการให้ยา 14 วัน ได้ตามเกณฑ์ทางสถิติวิจัย กลุ่มย่อยใด เพศ อายุ ตำแหน่งติดเชื้อ ชนิดเชื้อ ดูว่าการให้ยา 7 วันก็ไม่แพ้เดิม แต่กลุ่มที่ให้ยา 7 วันมีแนวโน้มจะต้องพิจารณาให้ยาเพิ่มเติมหรือให้ยาซ้ำ เป็นตัวเลขที่มากกว่าการให้ยา 14 วัน แม้จะไม่มีนัยสำคัญ แต่น่าคิด
และเขาไม่ได้แจกแจงว่าให้ยาอะไร
ถ้าว่ากันในกลุ่มผู้ป่วยที่ยืนยันการติดเชื้อเพาะเชื้อในเลือด รู้ผลความไวต่อยา อาการไม่หนักไม่ซับซ้อน การให้ยาเพียง 7 วัน ดูไม่ด้อยกว่า แถมจะได้วันนอนลดลง ค่าใช้จ่ายลดลง ก็น่าสนใจดีครับ เพราะค่าใช้จ่ายการให้ยาฆ่าเชื้อสูงมาก และที่สูงกว่าคือผลจากการให้ยาฆ่าเชื้อไม่สมเหตุสมผลนี่แหละ
อ่านกันสนุก ๆ กับความรู้เดิมแต่นำมาปรับใช้ให้ดีขึ้น ชอบเปเปอร์แบบนี้มาก ตอนนี้อ่านฟรีนะครับ (จำกัดเวลา) เพียงลงทะเบียนเข้าใช้ nejm.org

18 พฤศจิกายน 2567

วัคซีนไอกรนในผู้ใหญ่ อายุตั้งแต่ 18

 ตอบคำถามเรื่องวัคซีนไอกรนในผู้ใหญ่ อายุตั้งแต่ 18

ในกรณีไม่มีแผลที่ต้องได้บาดทะยักให้ฉีดวัคซีน คอตีบ-บาดทะยัก ทุก 10 ปี ครั้งละ 1 เข็ม โดยในจำนวนที่ฉีดเหล่านี้ ขอเป็น Tdap 1 เข็ม คือ คอตีบ ไอกรนชนิดไม่มีเซลล์ และบาดทะยัก
ในกรณีที่เกิดแผลและต้องฉีดบาดทะยัก ก็ถือโอกาสเข็มแรก ในชุดที่ต้องฉีด 3 เข็ม ให้เป็น Tdap
หรือใครจะฉีด Tdap ทุก 10 ปี ก็ไม่ผิด ยิ่งอายุมาก ภูมิจะยิ่งลดลงเร็ว กระตุ้นก็ด เพราะคอตีบ ไอกรน พบมากขึ้นในผู้ใหญ่ที่ภูมิคุ้มกันเริ่มลด
acellular pertussis วัคซีนไอกรน ปัจจุบันใช้เทคโนโลยีพันธุวิศวกรรมสร้างขึ้นหมดแล้ว เพราะพิษต่ำมากและประสิทธิภาพสูงด้วย
Tdap เป็นวัคซีนที่ต้องชำระเงินเองนะครับ ส่วนมากถ้าใช้สิทธิการรักษาฉีดบาดทะยักจะได้ T ตัวเดียว หรือโชคดีหน่อยก็จะได้ dT แทน
แนะนำกระตุ้นทุก 10 ปีในปีที่อายุลงท้ายก็เลขเต็มสิบ แต่ผมถือเคล็ด ใช้เลข 9 แทนครับ
See insights and ads
Boost
All reactions:
201

17 พฤศจิกายน 2567

ร้านหนังสือ : ร้านวีบุ๊ก ตลาดเซฟวัน โคราช ร้านวีบุ๊ค

 วันอาทิตย์ พาเที่ยวร้านหนังสือ : ร้านวีบุ๊ก ตลาดเซฟวัน โคราช ร้านวีบุ๊ค

“สองปีนี้วงการหนังสือคึกคักขึ้นนะครับ คนอ่านมากขึ้น อ่านในเชิงลึกขึ้นด้วย” พี่วี เจ้าของร้านบอกกับผมอย่างนั้น
ผมเคยมาเยี่ยมเยือนร้านนี้หลายครั้ง ก่อนหน้านี้ตั้งอยู่หน้าตลาด เมื่อเข้าสู่ระยะระบาดของโควิดก็ไม่ได้ไปอีก ต่อด้วยการปรับปรุงจัดแผนผังตลาดครั้งใหญ่ ก็ห่างหายไปสามปี เคยไปตำแหน่งเดิม แต่ไม่พบร้านเสียแล้ว
ไม่เพียงแต่เยี่ยมเยือน ยังชวนเขามาเสวนาอายุรศาสตร์ง่ายนิดเดียว หัวข้อ สุขใจเมื่อได้อ่านมาหลายครั้ง
มาเยือนครั้งนี้ก็พบร้านของเขา ย้ายมาอยู่ติดโซนสัตว์เลี้ยงและติดกับโซนพระเครื่อง มีร้านหนังสือสองสามร้านรวมกัน ที่สำคัญคือ ติดถนนภายในตลาด รถไฟรับส่งคนจะผ่านเส้นทางนี้ จึงสังเกตเห็นและมาได้ง่าย
ร้านวีบุ๊คใหญ่ขึ้น มีพื้นที่บรรจุหนังสือเพิ่มมากขึ้น พื้นที่เดิน ‘คุ้ย’ กองหนังสือเยอะมากขึ้น
ใคนชอบมาร้านหนังสืออิสระ หรือ ร้านหนังสือมือสอง จะรู้ว่าเสน่ห์สำคัญของร้านหนังสือแบบนี้คือการได้คุ้ยหาหนังสือ และบางครั้งก็จะเจอของล้ำค่า easter egg ในกองเหล่านี้ ร้านหนังสือแฟรนไชส์จะจัดเป็นหมวดหมู่ หาง่าย หรือเลือกดูจากแอปได้ สำหรับผม การคุ้ยสนุกกว่า
“เจ้าของร้านยังจำไม่ได้เลยครับ ว่ามีหนังสืออะไร และอยู่ตรงไหน” พี่วีพูดยิ้ม
ร้านแยกหนังสืออังกฤษและไทย นิยายร่วมสมัย นิยายคลาสสิก การ์ตูน ความรู้ แยกเป็นกองสูงท่วมหัว ถ้าเล่มที่ต้องการอยู่ใต้สุด เจ้าของร้านกับลูกค้าก็จะช่วยกันรื้อออกมาอย่างสนุกสนานและมีรอยยิ้ม
และถ้าใครเป็นแฟนสามก๊ก ที่นี่มีมุมสามก๊กโดยเฉพาะ เพราะคุณเจ้าของร้านคลั่งสามก๊กมาก มีทุกเล่มแปล หรือหนังสือแยกย่อย สองตั้งเลยครับ
“แฟนสามก๊กบางคนมายืนคุยเป็นชั่วโมง ไม่ได้มาซื้อ แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว” พี่วีผู้ชื่นชอบสามก๊กยังเหนียวแน่นและศรัทธาต่อหลอกว้านจง
คุณสามารถมาลุยค้น มาคุยกับนักอ่าน มาเทรดแลกหนังสือ มาซื้อหา หรือสั่งหนังสือที่ต้องการราคาไม่แพงได้ที่นี่
แม้ร้านมือสอง ร้านอิสระ ร้านเช่า จะลดลงตามเวลา แต่คนอ่านและคนรักหนังสือยังมีอยู่ตลอด และคึกคักขึ้นเรื่อย ๆ ครับ
หรือจะถึงเวลาจัดเสวนาคนรักหนังสือ และพูดคุยเรื่องหนังสือกันอีกสักที ก็อยากจัดเหมือนกันนะครับ

16 พฤศจิกายน 2567

แนะนำวิธีการแก้เหนื่อย สำหรับผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ที่ต้องการคุมน้ำหนัก

 แนะนำวิธีการแก้เหนื่อย สำหรับผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ที่ต้องการคุมน้ำหนัก

หลายคนเวลาร้อน หรือทำงานเหนื่อย ก็อยากได้ความหวาน เย็น สดชื่น อันนี้ไม่ผิด และทำได้
แต่หลายคน ดื่มน้ำหวานเป็นเหยือก ดื่มน้ำอัดลม แตงโมครึ่งลูก มันก็สดชื่นจริง ถึงน้ำตาลในเลือดไม่ต่ำก็สดชื่น
เพื่อจะได้ไม่ 'เยอะ' เกินไป ผมแนะนำแบบนี้ครับ
ปอกผลไม้ที่กินง่าย พร้อมกิน และหั่นเป็นชิ้นพอดีคำ ใส่กล่องแช่ตู้เย็นเอาไว้
การกินผลไม้เป็นชิ้น จะได้เส้นใยอาหาร วิตามินเกลือแร่พอควร เนื้อสัมผัสที่ต้องเคี้ยวบ้าง จะทำให้สดชื่นตื่นตัวได้ดี
แต่ไม่ได้กินทั้งกล่องนะครับ ให้จิ้มแบ่งใส่ถ้วยมาแค่ 3-4 ชิ้นเท่านั้น แค่นี้ก็เพียงพอกับการสร้างความสดชื่น และเติมพลัง ได้เคี้ยวกรุบ ๆ ได้กลืน ให้เคี้ยวช้า ๆ เสพความสำราญของผลไม้สามชิ้นให้เต็มที่
และใช้วิธีนี้ได้แค่วันละครั้งครับ ถ้าเล่นมันซะวันละสามสี่ครั้ง อันนี้ก็เกินขนาดไป
ส่วนน้ำผลไม้ กว่าจะได้หนึ่งแก้ว น่าจะต้องใช้ผลไม้มากกว่าสามสี่ชิ้นแน่ น้ำตาลจะมากเกินไปครับ
และที่ให้แบ่งมาแค่สี่ชิ้น เพราะเวลาคุณเหนื่อย โหย คุณกินแล้วสดชื่น คุณโซ้ยจนหมดแน่ ต้องแบ่งและซื่อสัตย์กับตัวเอง
และที่ให้ปอกเตรียมเก็บไว้ เพื่อจะได้พร้อมกินเวลาต้องการ ตอบสนองความโหยได้ทันที ถ้าต้องไปรอปอก รอล้าง อาจจะหันไปหาขนมอื่น หรือสิ่งอื่นที่หาง่ายแต่พลังงานสูง
ผลไม้ที่ผมแนะนำ ส้มเขียวหวาน มะละกอ แก้วมังกร สับปะรด ... น้ำตาลไม่ค่อยสูง (แต่ต้องชิ้นพอดีคำแค่ไม่เกินสี่ชิ้น) หาง่าย ราคาไม่แพง ปอกแช่เย็นแล้วเก็บได้สองสามวัน
คุมอาหาร คุมเบาหวาน ก็ใช้ชีวิตอย่างสุขสดชื่นได้ครับ

Amidst the New World Order : ไทยในระเบียบโลกใหม่

 Amidst the New World Order : ไทยในระเบียบโลกใหม่

อีกเล่มที่มาแนะนำครับ สำหรับคนที่สนใจเรื่องภูมิศาสตร์การเมือง เศรษฐกิจระหว่างประเทศ
ผมคิดว่าหลายคนคงเคยได้ยินคำว่า geo-politics, new power เป็นคำกล่าวเพื่ออธิบายความเป็นไปของโลก เมื่อรูปแบบของมหาอำนาจ ระบบเศรษฐกิจ ที่เปลี่ยนแปลงไปมากในช่วง 10 ปีมานี้
ไม่ว่าการขึ้นมาเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของจีน
อำนาจต่อรองของประเทศกลุ่มสหภาพยุโรป
การเปลี่ยนขั้วอำนาจทางการเมืองในสหรัฐอเมริกา
การเมืองที่คุกรุ่นและไม่สามารถวางใจใครได้ในตะวันออกกลาง
การถ่ายเทประชากร การอพยพย้ายถิ่น ในภูมิภาคต่าง ๆ ในโลก
หนังสือเล่มนี้อธิบายตั้งแต่เริ่มต้นว่า จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ เป็นอย่างไร จีนมีความคิดอย่างไร ทำอย่างไร, การรวมตัวของชาติอาเซียนเพื่อต่อรองอำนาจ เริ่มมาแบบใด, การจัดสรรและวางขุมกำลังของรัสเซียและปูติน แยกเล่าเรื่องเป็นส่วน ๆ เพื่อให้เข้าใจว่า อำนาจการเมืองปัจจุบันเปลี่ยนแปลงขั้วด้วยสาเหตุใด
ต่อมาคือปฏิสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นคู่จีน-อเมริกา, รัสเซีย-สหภาพยุโรป, จีน-เอเชีย ผ่าน belt road initiative, อเมริกา-คู่ค้า จากนโยบาย america first ของทรัมป์ มาจนไบเดน, การต่อรองของอาเซียนกับมหาอำนาจอย่างอินเดีย ให้มุมมองว่า ทำไมต้องรวมตัวกัน การต่อรองจะเกิดผลประโยชน์แบบใด ซึ่งจะส่งผลถึงแนวนโยบายในระดับภูมิภาค ที่ประเทศตัวเล็กตัวน้อยจะก้าวมามีบทบาทอย่างไร
ตบท้ายด้วย บทบาทของประเทศไทยในฐานะคู่สัมพันธ์กับกลุ่มประเทศ กับอำนาจใหม่ ว่าเราจะต่อรองใครได้อย่างไร เราจะร่วมมือกับใครและเกิดประโยชน์และโทษกับเราอย่างไร
ชอบที่หนังสือเล่มนี้ใช้การเขียนเชิงวิทยาศาสตร์ คือมีข้อมูลต่าง ๆ มาอ้างอิงเพื่อสนับสนุนหรือคัดค้าน แนวคิดและมาตรการระหว่างประเทศ ใช้ความคิดเห็นน้อยมาก และถึงแม้จะเป็นหนังสือในเชิงวิชาการ แต่ไม่ได้ใช้ศัพท์ที่เข้าใจยาก และการเรียบเรียงทำได้ดี สามารถคิดตามได้ ยิ่งกับคนที่ติดตามข่าวสารรอบตัว และช่วยวาดภาพปรากฏการณ์การเปลี่ยนแปลงเชิงอำนาจและเศรษฐกิจในยุคปัจจุบันได้ดี
ส่วนตัวคิดว่าเนื้อหาและมุมมองของผู้เขียนคือ อ.ปิติ มีความเป็นกลางสูง ให้ข้อมูลทางกว้างและทางลึกได้ดี และมีอ้างอิงให้สืบค้นต่อได้
แต่ว่าผู้อ่านจะต้องมีพื้นฐานทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคม มาเล็กน้อย หรือฟังข่าวอ่านข่าวมาบ้าง จึงจะเข้าใจได้ดี และมีศัพท์ทางวิชาการอยู่บ้างที่ต้องทำความเข้าใจครับ ไม่ใช่เป็น plain language เสียทั้งหมดครับ
หนังสือโดย รศ.ดร.ปิติ ศรีแสงนาม จากสำนักพิมพ์มติชน ราคาปกเล่มละ 420 บาท จำนวน 420 หน้า
ใครอยากลองฝึกมุมมองใหม่ อยากลองเปิดมุมมองโลก ผมว่าเล่มนี้เขียนได้ดีและไม่ยากครับ

การเดินทางของไทรอยด์

 การเดินทางของไทรอยด์

หลายวันก่อนมีคำถามเข้ามาว่า ผู้ป่วยตรวจพบก้อนใต้คาง ปรากฏว่าเป็นก้อนต่อมไทรอยด์ เท่าที่เขาทราบ ไทรอยด์น่าน่าจะอยู่ตรงกระเดือก ตกลงว่าเป็นก้อนอะไรกันแน่
เพื่อที่จะตอบคำถามนี้ ผมขอพาท่านผู้อ่านย้อนอดีต (แสดงว่าอ่านกันยาว ๆ แน่นอน) ไปในสมัยที่เรายังมีอายุประมาณ 4 สัปดาห์ และยังอยู่ในนิวาสถานมดลูกอันแสนอบอุ่น ...ไปกันครับ
ตัวอ่อนของมนุษย์และสัตว์มีกระดูกสันหลังทั้งหลาย เริ่มต้นชีวิตในช่วงแรกคล้ายกัน หลังจากนั้นจึงวิวัฒนาการไปเป็นสายพันธุ์ต่าง ๆ สำหรับมนุษย์ เมื่อมีการปฏิสนธิจนได้เซลล์ต้นกำเนิดและแบ่งตัว ข้อมูลจากรหัสพันธุกรรมจะกำหนดการสร้างโปรตีนและแปรสภาพเซลล์ไปเป็นอวัยวะต่าง ๆ
เรามาเริ่มต้นที่สัปดาห์ที่สี่ของชีวิต
ตอนนั้นเรามีลักษณะหัวโต ๆ ร่างกายเป็นแท่งกลมยาวไปจรดหาง มีถุงกลางท้องเป็นถุงไข่แดงและสายเชื่อมต่อกับรก ที่เรารู้จักกันชื่อสายสะดือ พื้นที่ตรงใต้ต่อหัวโต ๆ ของตัวอ่อน จะมีกลุ่มเนื้อเยื่อที่หนาตัวขึ้นทางด้านหน้าลำตัว เป็นที่ราบสูงขึ้นมา เรียกพื้นที่นี้ว่า pharyngeal arch เดิมทีเรียกว่า brachial arch แต่มาใช้คำนี้เพราะคำว่า brachial มันไม่เฉพาะเจาะจงกับมนุษย์เท่านั้น ใช้ pharyngeal เพื่อบอกว่านี้คือมนุษย์ ส่วน brachia มีความหมายเหมือน gill คือเหงือกปลา จะว่าไปก็พัฒนาการมาจากแหล่งเดียวกันนี้แหละ
พื้นที่ราบสูง pharyngeal arch จะเริ่มแบ่งตัวเป็นแท่งยาว นั่นคือมีแท่งนูนขึ้นและรอยแยกที่เว้าตัวลง เราเรียกว่า bar และ cleft แบ่งเจ้า arch เดิมออกเป็น 6 arch ซึ่งแต่ละ arch จะพัฒนาการไปเป็นอวัยวะต่าง ๆ บนใบหน้าและลำคอ โดยการเจริญโค้งเข้าหากันตรงกลาง เราก็จะเห็นว่าใบหน้าที่สมบูรณ์จะสมมาตรซ้ายขวา ถ้าเกิดการแบ่งที่ไม่ดี จะเกิดความผิดปกติได้ เช่น arch ที่หนึ่งซึ่งเจริญไปเป็นกระดูกกรามบน เกิดไม่มาติดกัน จะเกิดเป็นปากแหว่งเพดานโหว่
Arch จะเจริญไปเป็นส่วนต่าง ๆ คือ คอ ลิ้น กล้ามเนื้อของคอหอย กล้ามเนื้อของลิ้น กล้ามเนื้อและกระดูกของกล่องเสียง โดยขณะที่กำลังพัฒนาไปเป็นอวัยวะต่าง ๆ จะมีเซลล์ประสาทจากแถวกระดูกสันหลัง เคลื่อนที่มาเพื่อช่วยควบคุมการทำงานและการรับสัญญาณประสาทของอวัยวะเหล่านี้ด้วย เซลล์ประสาทสั่งการต่าง ๆจะมารวมกันที่ก้านสมอง ซึ่งตั้งอยู่ด้านหลังเพดานปากและหลังจมูก เพราะพัฒนามาพร้อมกัน เลยอยู่ชิดติดกัน
และยังอธิบายด้วยว่าอวัยวะต่าง ๆ เหล่านี้จึงถูกควบคุมและรับสัมผัสด้วยเส้นประสาทสมองนั่นเอง เช่น กล้ามเนื้อบนใบหน้าที่พัฒนาการมาจาก arch ที่สอง จะมีกลุ่มเส้นประสาทมาควบคุมเหมือนกัน คือเส้นประสาทสมองคู่ที่ 7 เส้นประจำ arch ที่ 2 ไม่ว่ากล้ามเนื้อจะเคลื่อนที่ไปที่ใด เส้นประสาทสมองคู่ที่เจ็ดก็จะยืดยาวตามไปควบคุม หรือกล้ามเนื้อเล็ก ๆ ในหู ที่ชื่อ stapedius มีต้นกำเนิดจาก arch ที่สองเช่นกัน แม้กล้ามเนื้อจะอยู่ในหูก็ควบคุมด้วยเส้นประสาทสมองคู่ที่ 7 เช่นกัน ผู้ป่วยหน้าเบี้ยวจากเส้นประสาทสมองคู่ที่เจ็ดอักเสบ ในบางรายถึงมีเสียงดังในหู
เราพอเข้าใจการจัดเรียงอวัยวะของใบหน้าและลำคอแล้วนะครับ
เรามาที่รอยต่อ arch ที่ 1 และ 2 ตรงพื้นที่กลางตัว พื้นที่ส่วนริมจะกลายไปเป็นกระดูกกรามและลำคอ พื้นที่ตรงกลางจะมีรอยนูนขึ้นเรียกว่า Tuberculum impar และ Copula ตามลำดับ จำชื่อสองอันนี้ไว้ เดี๋ยวจะมาต่อภายหลัง พื้นที่ระหว่างกลางของรอยนูนจะเกิดการพัฒนาการกลุ่มเซลล์เล็ก ๆ ที่จะเจริญไปเป็นเซลล์ต่อมไทรอยด์ แถมตรงพื้นที่นั้นจะเป็นหลุมเป็นโพรงชื่อว่า foramen caecum เอาล่ะ มาถึงไคลแม็กซ์แล้ว
กลุ่มเซลล์บริเวณ Tuberculum impar และพื้นที่รอบ ๆ มีการเจริญเติบโตที่เร็วและขยายใหญ่มาก กลายไปเป็นลิ้นส่วนหน้า กินพื้นที่ 2/3 ของลิ้นทั้งหมด ส่วนพื้นที่ Copula และเซลล์รอบ ๆ จะพัฒนาไปเป็นลิ้นส่วนหลัง จะสังเกตว่ามาจาก arch ต่างกัน เมื่อโตขึ้นเราจึงเห็นพื้นผิวต่างกันจนแยกได้ ตรงรอยแยก sulcus ระหว่าง arch ที่หนึ่งและสอง เราก็ยังเห็นเป็นเส้นขอบเขตของลิ้นทั้งสองส่วนนั่นเอง มีชื่อว่า ternimal sulcus หรือชื่อละตินว่า sulcus terminalis
แถมประสาทรับสัมผัสเจ็บปวดร้อนเย็น (ไม่ใช่รับรสนะ) ก็มาจากเส้นประสาทสมองประจำ arch คือเส้นที่ 5 และ 7 ตามลำดับ พื้นที่ต่างกันของลิ้นจึงรับสัมผัสจากเส้นประสาทสมองต่างกันตามที่มาต้นกำเนิดของพื้นที่นั่นเอง เซลล์ลิ้นมันโตเร็วและขยายขนาดและเบียดกลุ่มเซลล์ไทรอยด์ต้องเคลื่อนที่หนี หนีไปไหน หนีลงล่าง
และเนื่องจากกลุ่มเซลล์มันอยู่ตรงกลางตัวพอดี แนวทางการเคลื่อนจึงเคลื่อนตามแนวกลางตัวจาก foramen caecum ลงไปจนถึงขอบของ arch ที่สองที่ถูกโคนลิ้นเบียดลงไป ลงไปอยู่ที่พื้นที่บริเวณกระดูกไฮออยด์และกระดูกอ่อนไทรอยด์ (กระเดือก) และจับจองครอบครองปรปักษ์ ใช้เวลาเคลื่อนที่ลงมาประมาณ 3 สัปดาห์ จากจุดกำเนิดมาจุดปัจจุบัน
เส้นทางที่ไทรอยด์เคลื่อนที่ลงมา เรียกว่า thyroglossal duct คำว่า thyro ก็คือไทรอยด์ glossal,glossus คือ ลิ้น หมายถึงทางหลวงเชื่อมไทรอยด์และลิ้นนั่นเอง ซึ่งต่อไปทางหลวงนี้จะปิดตัวเองและสลายตัวไป
นั่นจึงเป็นคำตอบว่า อาจพบเนื้อเยื่อไทรอยด์หลงเหลือตามจุดต่าง ๆ ที่เคลื่อนที่ลงมาได้ โดยการตรวจนั้นหากให้แลบลิ้น คือการเคลื่อนที่ของลิ้นไปข้างหน้า เราก็จะเห็นก้อนไทรอยด์ที่หลงเหลือนี้ขยับขึ้นตามไปด้วย เพราะมันยึดต่อถึงกันในอดีต หรือหาก thyroglossal duct นี้ไม่สลายไป อาจเกิดเป็นซีสต์ในแนวกลางคอ ตามการเคลื่อนที่ของมัน เรียกว่า thyroglossal duct cyst ได้ด้วย
เมื่อเนื้อเยื่อเริ่มต้นของไทรอยด์มาถึงตำแหน่งปัจจุบันในช่วงสัปดาห์ที่เจ็ดแห่งชีวิต ก็เจริญออกทางด้านข้างเป็นกลีบซ้ายและขวา เพราะมีพื้นที่ในการเจริญมากกว่าตรงกลาง และรับเลือดมาเลี้ยงมากกว่า ทำให้กลีบซ้ายและขวาของไทรอยด์ไม่ได้สมมาตรกันดังเช่นอวัยวะกลางทั้งหลาย เพราะไม่ได้เกิดจากเจริญเข้าหากันตรงกลาง
ตำแหน่งตรงกลางของไทรอยด์ จึงแคบและบางเรียกว่าส่วน isthmus ที่แปลว่าตีบแคบ ช่องแคบ และบางครั้งบางคนอาจจะเห็นเนื้อเยื่อไทรอยด์ต่อไปด้านบนตรงกลาง ตามแนวการเคลื่อนที่ของไทรอยด์ครั้งยังเยาว์วัย เห็นเป็นต่อมรูปสามเหลี่ยมตรงกลางที่เรียกว่า pyramidal lobe ร่องรอยการเคลื่อนย้ายถิ่นฐานของไทรอยด์ครั้งเมื่อกาลก่อน
น่าจะพอได้คำตอบนะครับ หรือว่า ได้คำตอบนานแล้วเฟร้ย มาอธิบายอะไรเป็นคุ้งเป็นแคว ถามแค่ประโยคเดียวเอง ฮ่า ๆ ก็นี่แหละ ลุงหมอกงยู จาก อายุรศาสตร์ ง่ายนิดเดียว
May be an image of x-ray and text
See insights and ads
Boost
All reactions:
ร้านวีบุ๊ค and 82 others