18 ธันวาคม 2566

ศรพิษแห่งคาลิเนโก curare

 ศรพิษแห่งคาลิเนโก

ศตวรรษที่ 15 คือการสิ้นสุดลงของยุคกลางแห่งยุโรป ด้วยเหตุการณ์ที่ถือว่าเป็นการสิ้นจุดและจุดเริ่มของยุคใหม่ คือ เรเนอซองต์ สองเหตุการณ์คือ การล่มสลายของอาณาจักรไบเซนทิอุม หรืออาณาจักรโรมันตะวันออกเดิม ในปี 1453 อันมีศูนย์กลางที่คอนสแตนติโนเปิล จากการเข้ายึดครองของกองทัพออตโตมาน ทำให้ศิลปวัฒนธรรมของชาวกรีกไหลย้อนกลับไปที่ยุโรปอีกครั้ง คราวนี้เมืองหลวงแห่งยุคสมัยย้ายมาที่ ฟลอเรนซ์
อีกหนึ่งเหตุการณ์ที่ถือว่าคือการยุติยุคกลางโดยสมบูรณ์ เกิดในอีก 40 ปีต่อมาเมื่อกองเรือแห่งราชสำนักสเปนล่องเรือข้ามแอตแลนติกไปถึงหมู่เกาะเวสต์อินดีส โดยผู้นำทัพชาวอิตาลี คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส จุดแรกที่โคลัมบัสพบแผ่นดิน โดยคิดว่าเป็นอินเดียคือ หมู่เกาะแอนทิลีสน้อย ทางตะวันตกของประเทศเปอร์โตริโก ที่นี่นอกจากชนพื้นเมืองอินเดียนแล้ว ยังมีอีกหนึ่งอย่างที่ซ่อนเร้นเป็นอาวุธลับแห่งดินแดน คือ ลูกศรอาบยาพิษ
ลูกศรอาบยาพิษที่เรารู้จักกันคือ ศรนาคบาศของอินทรชิต แม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพทศกัณฑ์ ยิงทีเดียวพิษร้ายทำลายทั้งกองทัพพระลักษณ์ ร้อนถึงศูนย์พิษรามาฯ ที่มารับปรึกษาและบอกว่า อ๋อ มีที่มาจากพิษงู ยิงศรไปเรียกพระยาครุฑมาไล่งูให้ก็จบ
กลับมาที่ศรพิษแห่งแคริบเบียน คือ หลังจากที่คริสโตเฟอร์ โคลัมบัสค้นพบอเมริกาแล้ว กองเรือสเปนก็ไปสำรวจอเมริกาอีกหลายรอบ จนถึงปี 1511 เรื่องราวทั้งหมดอันสมบูรณ์ของหมู่เกาะเวสต์อินดีสได้ถูกถ่ายทอดโดย ปิเอโตร มาแตร์ แห่ง อังเกเรีย นักประวัติศาสตร์แห่งราชสำนักสเปน ที่บันทึกเรื่องราวต่างมาทั่วโลก และได้รับจ้างจากราชสำนักสเปน ให้มาเขียนหนังสือเพื่อ พีอาร์ ความยิ่งใหญ่แห่งราชสำนัก
หนึ่งในเรื่องราวที่บันทึกนั้นคือ 'ศรพิษแห่งคาลิเนโก' บันทึกว่าอาวุธร้ายกาจของชาวเกาะที่นี่ เมื่อเป่าลูกดอกออกไปโดนสัตว์ที่ต้องการล่า สัตว์นั้นจะเคลื่อนที่ช้าลง และขาดใจตายในเวลาไม่นาน นับเป็นอาวุธและความลับยิ่งใหญ่ของชาวเกาะเลยทีเดียว
เรื่องราวนี้ลงบันทึกในหนังสือ De Orbe Novo ที่บันทึกเรียบร้อยในปี 1516 และเผยแพร่ในปี 1520 หลังจากเรื่องราวนี้เผยแพร่ ก็ได้รับการโจมตีอย่างนักว่า มโนและแฟนตาซีเกินไป ด้วยเหตุว่าในยุคนั้นหาได้มีพิษร้ายใด ๆ จะสร้างขึ้นได้ด้วยมือมนุษย์และร้ายกาจขนาดนั้นทั่วทั่งแผ่นดินยุโรป คือ ชาวยุโรปคิดว่าตัวเองคือศูนย์กลางโลก แต่การใช้ยาพิษมีมากมายในจีน แอฟริกา หรือแม้แต่การใช้ยาพิษเพื่อชิงบัลลังก์ในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เรื่องราวที่ถูกกังขาเป็นที่โจษขาน จนกระทั่งคนดังเข้าไปพิสูจน์เอง เรื่องจึงน่าเชื่อถือ
เซอร์วอลเตอร์ ราลีห์ นักการเมืองคนสำคัญของพระราชินีอลิซาเบธที่หนึ่ง คนที่เอายาสูบมาเผยแพร่ในยุโรป คนที่เอาชนะกองเรืออามาด้าอันเกรียงไกรของสเปน เรียกว่ามีอำนาจลำดับต้น ๆ ของจักรวรรดิอังกฤษ ท่านเซอร์ได้ไปสืบล่าทรัพยากรที่อเมริกาใต้ ในดินแดนเวเนซูเอล่า และได้บันทึกว่า ศรพิษแห่งคาลิเนโก มีจริงโดยชาวพื้นเมืองได้นำเอาเปลือกไม้บางชนิดและยางไม้มาเคี่ยวจนเหนียวและกลายเป็นสีดำ เอาเคลือบลูกดอก หากเกิดแผลแม้แต่นิดเดียว ยาพิษจะซึมเข้าร่าง เกิดเป็นอัมพาตและไม่หายใจจนตายในเวลาไม่กี่ลมหายใจเท่านั้น
ยาพิษนี้มีหลายชื่อเรียกนะครับ ตามแต่พื้นที่ใด ๆ ในประเทศกลุ่มแคริบเบียน แต่เราขอเรียกว่า curare
ชาวเกาะคาลิเนโก และชาวเกาะหลายแห่งที่หมู่เกาะแอนทิลิสน้อย ทำ curare เป็นอุตสาหกรรมท้องถิ่น โอทอป ค้าอาวุธราคาแพงมหาศาลนี้ให้กับเหล่าบรรดานักล่าทั่วหลายทั่วอเมริกาใต้ แน่นอนว่ามีการลักลอบทำเถื่อน มียาพิษเก๊ มียาพิษเทียบ ออกมามากมายแต่ว่ายังไม่มีอันใดเทียบได้กับ ศรพิษแห่งคาลิเนโกอันดั้งเดิมนั้นได้เลย ตอนนี้ศรพิษแห่งคาลิเนโกเริ่มโด่งดัง เป็นที่น่าสนใจของหลายอาณาจักร โดยเฉพาะมหาอำนาจใหม่อย่างอังกฤษและฝรั่งเศสในยุคปลายศตวรรษที่ 17 ต่อกับต้นศตวรรษที่ 18
ในช่วงศตวรรษที่ 17 นี้มหาอำนาจเดิมอย่างโปรตุเกสและสเปน หมดอำนาจไปอย่างสิ้นเชิง ทำให้การค้นพบต่าง ๆ ของสเปนเกือบทั้งหมดตกมาอยู่ในมืออังกฤษ ผู้พิชิตสเปน ดินแดนของสเปนภายใต้สัญญาตอร์เดซิยาส คือ ดินแดนอเมริกาใต้ (ยกเว้นบราซิล) ก็ถูกมหาอำนาจใหม่อย่างอังกฤษเข้าไปสำรวจเช่นกัน ทำให้การศึกษาเรื่องยางไม้มรณะ curare และศรอาบยาพิษแห่งคาลิเนโก ย้ายศูนย์มาศึกษาที่ยุโรป ในยุคแห่งการตื่นรู้
ในศตวรรษที่ 18 เวลานี้ทั่วทั้งยุโรปรู้แล้วว่า สารพิษ curare นี้หากกินเข้าไปจะไม่เกิดผล แต่หากโดนบาดแผล จะทำให้กล้ามเนื้อทั้งหลายอ่อนแรงจนหยุดหายใจตายไปในที่สุด ซึ่งในเวลานั้นยังไม่มีการค้นพบสารสื่อประสาทอะเซติลโคลีน ที่ใช้ในการสั่งการกล้ามเนื้อลาย กล้ามเนื้อที่ควบคุมโดยสมอง ส่วนกล้ามเนื้อเรียบและกล้ามเนื้อหัวใจกลับไม่ถูกกระทบด้วยยาพิษนี้ แต่ก็เริ่มมีนักคิดแล้วว่า ในเมื่อยาพิษทำให้หายใจไม่ได้ ถ้าเราทำให้เหยื่อหายใจได้ ก็น่าจะรอดพ้นพิษนั้นได้
แนวคิดนี้มาได้รับการทดลองที่โด่งดังมากจากนักธรรมชาติวิทยาชาวอังกฤษ Charles Waterson ที่เดินทางศึกษาและทดลองธรรมชาติอย่างเป็นระบบทั่วโลก มีการศึกษา มีทีมงาน และหลายงานได้ทุนจากราชสมาคมแห่งอังกฤษ และปี 1815 เขาทำการศึกษาสารพิษ curare โดยใช้ลาสามตัวดังนี้
ตัวแรก ยิงยาพิษ เข้าที่ขาน้องลา สรุปว่า น้องลาล้มลงและหายใจไม่ออกตาย
ตัวที่สอง ใช้เชือกมัดที่ต้นขา แล้วยิงยาพิษเข้าปลายขา ลาล้มลงแต่ไม่ตาย หากแต่พอคลายมัด ก็หายใจไม่ออกตายอีก
ตัวที่สาม เอกสารที่อ้างอิงเขียนไว้ว่า วอเตอร์สัน ใช้พิษยิงเข้าที่ลา แต่ได้มีการเจาะหลอดลม เป่าลมเข้าไปผ่าน bellow คือที่เป่าลมให้ไฟติดเวลาก่อไฟ ก็เปรียบเหมือนเราใส่ท่อช่วยหายใจและบีบถุงลมช่วยหายใจนั่นแหละครับ ปรากฏว่าลารอด (ภายหลังตายเพราะเจาะคอ)
หลายท่านสงสัย เจาะคอมีตั้งแต่นั้นแล้วหรือ ใช่ครับ การเจาะคอ (tracheostomy) มีบันทึกมาตั้งแต่สมัยอียิปต์ตอนปลาย แต่การช่วยหายใจโดยบีบลมเข้าไปปอด พัฒนาขึ้นในช่วงปี 1850-1900 นี่เอง และอุปกรณ์ mask with bag หน้ากากและถุงลมบีบช่วยหายใจ เพิ่งเกิดในปี 1950 ดังนั้นการทดลองนี้จึงถือว่า ..ว้าวมากในยุคนั้นครับ
นี่คือจุดเปลี่ยนที่ทำให้ curare ไม่อยู่ในโลกแห่งความตาย กลับเข้ามาในโลกแห่งการช่วยชีวิต
หลังจากการศึกษาของ Waterson ก็มีการทดลองมากมายเปลี่ยนกับ curare ในภาคพื้นยุโรป ยุคที่วิชาสรีรวิทยาเฟื่องฟูมาก และพบว่ามันสามารถยับยั้งการขยับของกล้ามเนื้อได้ หลังจากนั้นมีการศึกษาในสัตว์ทดลองมากมาย แต่ในปี 1900ก็ยังเป็นปริศนาว่าทำได้อย่างไรและด้วยกลไกอะไร ซึ่งปริศนานั้นถูกคลี่คลายในปี 1913 โดย Henry Dale
Henry Dale เป็นศาสตราจารย์ชาวอังกฤษ ศึกษาเรื่องสรีรวิทยาการทำงานของระบบประสาทและค้นพบสารสื่อประสาท acetylcholine ในปี 1913 พบว่า เมื่อกระแสประสาทมาสุดที่กล้ามเนื้อ จะมีการหลั่งสารสื่อประสาท acetylcholine ไปกระตุ้นการทำงานกล้ามเนื้อให้หดตัวทำงาน หลังจากนั้นก็เลยคลิกและพบว่า curare มันไปขัดขวางการทำงานของ acetylcholine ทำให้เส้นประสาทสั่งงานได้ แต่กล้ามเนื้อจะไม่หดตัว นี่คือ neuro-muscular blocking agents ยาคลายกล้ามเนื้อที่เราใช้ในการดมสลบนั่นเอง
หลักการของเดล ทำให้การพัฒนายายับยั้งสารสื่อประสาทก้าวหน้าไปมาก และเข้าใจว่าก่อนหน้านี้ทำไมมีการใช้ curare ในการรักษากล้ามเนื้อเกร็งจากบาดทะยักได้ แต่ยังไม่มีการศึกษาในคนที่ชัดเจน จนมีบันทึกทางประวัติศาสตร์ระบุการใช้ยาครั้งแรกในคน โดยใช้สารสกัดแบบ curare ที่ได้จากยางไม้มาทำให้บริสุทธิ์ชื่อ d-tubocurarine และฉีดเข้าไปในคนที่จะผ่าตัด การทดลองนี้ทำในเวเนซูเอลาในปี 1942 โดยลูกศิษย์ของเดลที่ชื่อ Pascual Scannone ที่บอกว่าเป็นบันทึก เพราะตอนนั้นยุโรปติดพันสงครามโลกครั้งที่สอง การทดลองทางการแพทย์ก็ชะงักงันลง การศึกษาต่าง ๆ ก็ไม่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารชั้นนำ ความรู้ต่าง ๆ ในตอนนั้นจึงเป็น off label เป็นบันทึกทั้งสิ้น
หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ยากลุ่ม curare-liked จึงได้รับการพัฒนามารักษากล้ามเนื้อเกร็ง และใช้ร่วมกับแก๊ซดมสลบในการผ่าตัด ทำให้ไม่ต้องใช้แก๊ซมากจนเกิดอันตรายและช่วยให้กล้ามเนื้อลายทั้งตัวคลายตัว มีการพัฒนายาให้ออกฤทธิ์แม่นยำขึ้นและไม่ไปยุ่งกับระบบประสาทส่วนกลาง โดยยาที่ได้รับการพัฒนานั้น เราอาจจะคุ้นหูบ้าง คือยาคลายกล้ามเนื้อ pancuronium ครับ
จนถึงวันนี้ยางไม้มรณะ curare และลูกศรพิฆาตแห่งคาลิเนโก ได้กลายเป็นยาช่วยชีวิตคนไข้ไปเสียแล้ว ไม่ว่าจะการดมสลบ การทำหัตถการทางการผ่าตัด ใช้ในการควบคุมกล้ามเนื้อผู้ป่วยไอซียูที่เป็น ARDS
ความจริงแห่งเรื่องนี้สอนเราว่า สรรพสิ่งทั้งโลกล้วนเป็นยาและเป็นพิษ ขึ้นกับเจตนาและวิธีใช้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น