17 กุมภาพันธ์ 2564

คุยเรื่องวารสาร การใช้ statin ในผู้สูงวัย

คุยเรื่องวารสาร การใช้ statin ในผู้สูงวัย

 สำหรับวารสาร meta analysis จาก lancet อันนี้ ผมถือว่าค่อนข้างครบเครื่องเลยครับ เพราะมีครบและรวบรวมการศึกษาในหลายช่วงเวลา พาดผ่านช่วงเวลาที่เราไม่ใช้ statin คือมีการเทียบกับยาหลอกด้วย และพาดผ่านช่วงเวลาที่การใช้ statin ค่อนข้างแพร่หลาย ทำให้เกิดการเทียบสองลักษณะ คือ ใช้กับไม่ใช้ และใช้ขนาดต่ำและขนาดสูง และข้อนี้เองก็เป็นจุดด้อยของมันเพราะต้องใช้ random effect model ที่มีความแปรปรวนข้อมูลกว้างสักหน่อย


สิ่งที่พบคือ กระทั่งทำ meta-analysis จำนวนผู้สูงวัยที่อายุมากกว่า 75 ปี ก็ยังมีแค่ 8% เพราะอย่างที่เล่าให้ฟังแต่ต้นว่า การศึกษามักจะไม่ค่อยรวมผู้สูงวัยเกิน 75 เข้ามา เนื่องจากอัตราการตายสูง โอกาสที่ยาจะแสดงผลจะต้องใช้จำนวนผู้เข้าร่วมจำนวนมาก และต้องมีผู้ที่เสี่ยงต่ำกับเสี่ยงสูงปะปนกัน ในทางปฏิบัติทำยากเพราะผู้สูงวัยเสี่ยงมากอยู่แล้ว

ระยะติดตามโดยเฉลี่ยคือ 5 ปี ซึ่งเป้าหมายเขากำหนดของดูการศึกษาแค่สองปีก็พอ เพราะช่วงอายุของผู้สูงวัยไม่ได้ยาวนานมาก หากเราไปดูผลการศึกษาที่จะเห็นประโยชน์ที่ 5 ปี บางทีมันก็อาจนานเกินไปกว่าที่จะพบประโยชน์แล้วสำหรับเขา

ตัวเลขออกมาว่า การใช้ statin ในผู้สูงวัยลดอัตราการเกิดโรคหลอดเลือด 21% ต่อ LDL ที่ลดลง 1 mmol/L หรือประมาณ 40 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร เป็นอัตราที่น้อยกว่าวัย 40-60 ปีก็จริง แต่ว่าน้อยกว่ากันแค่ 10-15% เท่านั้นเอง และอย่าลืมว่าตัวเลขการลดความเสี่ยงใกล้เคียงกัน แต่ผู้สูงวัยมีความเสี่ยงกว่าเยอะมาก ก็แสดงว่า การลดความเสี่ยงด้วยการใช้ยา ได้ผลจริง ๆ นะครับ และไม่ว่า statin ขนาดสูงหรือขนาดกลางก็ลดความเสี่ยงได้พอกัน 

เนื่องจากความเสี่ยงที่ลดลง วัดจาก MACE ที่เป็น composite endpoint ถามว่าแล้วจากข้อมูล มันลดอะไรมากกว่า คำตอบจาก retrospective study จากอ้างอิงในวารสารข้อสอง และการศึกษาแบบ case-control ในเกาหลีตามวารสารอ้างอิงข้อที่สาม ระบุว่า สิ่งที่ยาช่วยปกป้องได้มากคือ โอกาสการเกิดอัมพาต และการเสียชีวิตจากโรคหลอดเลือด สองอันนี้เด่นและมีนัยสำคัญมากกว่าโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ (ก็ลดลงนะครับ แต่ไม่ได้มี magnitude เท่า non fatal stroke และ CV death) แถมประโยชน์ก็เห็นได้ชัดเจนตั้งแต่สองปีแรกเลย

คำอธิบายว่าทำไมหลอดเลือดหัวใจตีบดูไม่ค่อยลดลง คำอธิบายว่า เพราะส่วนหนึ่งมีหลอดเลือดหัวใจตีบอยู่แล้วในตอนเริ่มต้นนั่นเอง มันวัดยากครับ ไม่เหมือนอัมพาตที่วัดได้ง่ายกว่า

และตัวเลขการลดความเสี่ยงการเกิด MACE คือ 25% เมื่อเทียบกับการไม่ได้ statin เพราะรูปแบบการศึกษาก็มีความโน้มเอียงสูง และไม่ได้รวมแนวทางยุคปัจจุบันที่มีการคำนวณความเสี่ยงและการใช้ statin อย่างแพร่หลาย ทำให้น้ำหนักของสองวารสารอ้างอิงนี้ยังสู้ meta analysis ในข้อแรกไม่ได้  แต่บอกเราว่า ข้อมูลมันไปในทางเดียวกัน  

ด้วยความที่ยุคปัจจุบัน มีการใช้เครื่องมือคำนวณความเสี่ยงเช่น Thai CV risk, ASCVD risk ทำให้คนยุคปัจจุบันได้รับ statin เร็วขึ้นและด้วยปริมาณมากขึ้น การจัดการเรื่องยา ความคิดการลดความเสี่ยง มันเปลี่ยนไปจากอดีตมาก เราจึงต้องรอการศึกษาในยุคปัจจุบัน ใช้สถานการณ์ ณ เวลาปัจจุบัน แนวทางปัจจุบัน กับกลุ่มประชากรยุคใหม่ที่ superhealthy มากกว่าเดิม ซึ่งคือการศึกษาแบบ prospective RCTs เรียกว่า ทันสมัยกว่าและน่าเชื่อกว่า รวมทั้งเน้นเรื่องการศึกษาในผู้สูงวัยโดยเฉพาะ แต่ต่างจากการศึกษาที่ผ่านมา ที่ผลของผู้สูงวัยเป็นเพียงแค่ "ติ่ง" ของการศึกษาเท่านั้น นั่นคือ STAREE และ PREVENTABLE 

และมีความคิดการใช้ CTA coronary ร่วมกับ Coronary Artery Calcium scoring มาใช้จัดลำดับความเสี่ยงแทนที่ตัวคำนวณทั้งหลายที่มีสัดส่วนจากผู้อายุเกิน 75 ปี จำนวนไม่มาก ... เหตุที่ต้องใช้เพราะ ข้อมูลต่าง ๆ บอกว่าการปกป้องปฐมภูมิจะมีผลมากกว่าเมื่อความเสี่ยงต่ำนั่นเอง การระบุความเสี่ยงว่า "ต่ำ" หรือไม่ อาจต้องใช้ CAC แทนที่การคำนวณแบบต่าง ๆ ที่เราใช้กัน

สำหรับเรื่องที่เราให้ความสำคัญคือ ผลข้างเคียงจากการใช้ยา จากข้อมูลรวบรวมในชุดเดียวกับที่พิสูจน์ประโยชน์จากยา ก็บอกว่า ได้รวบรวมข้อมูลความปลอดภัยของยาเอาไว้ด้วย ซึ่งถามว่าความน่าเชื่อถือมากไหม ก็ต้องบอกว่าไม่มาก เพราะหลายการศึกษาที่นำมารวบรวม ก็ไม่ได้ระบุความปลอดภัยเป็นเป้าหมายการศึกษาที่จะต้องออกแบบคำตอบทางสถิติ เพียงแต่เก็บผลที่เกิดขึ้นจากการศึกษา แต่มันจะเป็นจริงหรือบังเอิญ มันบอกไม่ได้ 

ผลข้างเคียงที่เรากลัวกันมาตลอดเกี่ยวกับ statin ก็รับการรวบรวมและบอกว่า สิ่งที่เรากังวลนั้นพบน้อยมากและไม่ได้รุนแรง คือ อาการปวดเมื่อกล้ามเนื้อ ส่วนเรื่อง มะเร็ง ไทรอยด์เป็นพิษ เลือดออกในสมอง เบาหวานที่เกิดมาใหม่ มะเร็ง สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ไม่ได้พบมากขึ้นในผู้สูงวัย แต่อย่าลืมว่า สัดส่วนปริมาณผู้สูงวัยในการศึกษาที่ผ่านมายังน้อยแถมการรวบรวมก็ไม่ได้ชัดเจนเหมือนประสิทธิภาพด้านบวก อย่างไรก็ต้องรอ STAREE และ PREVENTABLE 

ในสถานการณ์จริงที่ปรากฏใน PALM registry ที่ปรากฏในบทความอ้างอิงที่ 5 ที่บันทึกข้อมูลจริง ที่ไม่ได้กำหนดหรือตัดทอนใด ๆ อย่างที่ทำในการวิจัย แถมมีจำนวนผู้ที่อายุเกิน 75 ปีอยู่ถึง 25%  พบมีการใช้ยาเพื่อ primary และ secondary  prevention ในผู้สูงวัยที่ไม่ได้มีจำนวนน้อยไปกว่าคนที่อายุน้อยกว่า 75 ปีเลย เรียกว่า อายุไม่มีผลต่อการสั่งจ่ายยาตามข้อบ่งชี้ ส่วนผลของการลดความเสี่ยงคือผลลัพธ์ของการใช้ยาก็ออกมาพอ ๆ กับตัวเลขจากการศึกษาวิจัย คือ ลดลงประมาณ 20-25% เมื่อเทียบกับ กลุ่มที่ไม่ใช้ยา ... แต่ในกรณีนี้ กลุ่มที่ไม่ใช้ยาอาจจะเพราะว่าความเสี่ยงต่ำกว่า (อย่าลืม นี่ไม่ใช่งานวิจัย แต่คือเก็บข้อมูลจริง)  จึงเลือกไม่ใช้ยาก็เป็นได้ ข้อมูลจาก registry จึงเอามาเปรียบเทียบประสิทธิภาพไม่ได้ ระหว่าง กินยากับไม่กินยา หรือกินยาขนาดต่ำกับขนาดสูง 

บอกได้แค่ว่า เมื่อมีการใช้ยาในผู้สูงวัยในสถานการณ์จริง ตัวเลขการปกป้องและลดความเสี่ยงก็ออกมาพอ ๆ กับจากการศึกษาวิจัยนั่นเอง

อธิบายมาเสียยืดยาว ก็บอกได้นะครับ ว่าการใช้ยา statin เพื่อลดความเสี่ยงการเกิดโรคหลอดเลือดในผู้ที่อายุมากกว่า 75 ปี มีประโยชน์จริง และรอการยืนยันอย่างหนักแน่นด้วยข้อมูลจาก RCTs ที่กำลังทำอยู่ในขณะนี้ครับ แต่ถ้าข้อมูลอันใหม่ออกมาว่า ประโยชน์ไม่มีจริง หรือไม่มากอย่างที่ข้อมูลเก่า ๆ บอกไว้ ก็จะมานำเสนอกันอีกครั้งครับ 

ที่มา ทั้งหมดผมเลือกที่ฟรีและน่าเชื่อถือครับ ที่เป็น webference มีความสำคัญคือ รายชื่อวารสารอ้างอิงครับ
1. Efficacy and safety of statin therapy in older people: a meta-analysis of individual participant data from 28 randomised controlled trials. The Lancet.VOLUME 393, ISSUE 10170, P407-415, FEBRUARY 02, 2019

2. Nicholls SJ, Nelson AJ. Statins for Primary Prevention in the Elderly: The Importance of Rigorous Evidence. JAMA. 2020;324(1):45–46. doi:10.1001/jama.2020.8390

3. Statins for primary prevention in adults aged 75 years and older: A nationwide population-based case-control study. Atherosclerosis. VOLUME 283, P28-34, APRIL 01, 2019



6. Treatment with Statins in Elderly Patients.Medicina (Kaunas). 2019 Nov; 55(11): 721.


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น