11 กรกฎาคม 2563

JFK .. the secrets .. final cut scene Autoimmune Polyendocrine Syndrome (Type II)

JFK .. the secrets .. final cut scene
สองตอนที่ผ่านมาเรารู้จักโรคที่ JFK ป่วยและอาจมีชีวิตอยู่ไม่นาน จากโรคแอดดิสัน และต่อมาพบไทรอยด์ต่ำ ทำให้สงสัยแอนติบอดีทำลายตัวเองในโรค autoimmune polyendocrine syndrome วันนี้เรามาต่อจิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้าย พร้อมแกะปริศนาการตายของ JFK
หลังจากการผ่าตัดกระดูกสันหลังในปี 1954 แพทย์ก็พบว่า JFK เป็นโรคไทรอยด์ต่ำ จึงได้รับยาฮอร์โมนไทรอยด์ทดแทน ชื่อยา liothyronine ขนาด 25 ไมโครกรัมวันละสองครั้ง เอ๊ะ ชื่อไม่คุ้นหูเหมือน Levothyroxine ที่เราใช้รักษาในปัจจุบันใช่ไหม
liothyronine เป็นฮอร์โมนสังเคราะห์ชนิด T3 ที่เป็นตัวออกฤทธิ์จริง ๆ ของฮอร์โมนไทรอยด์ ข้อเสียสำคัญคือ มันหมดฤทธิ์เร็วมาก ต้องกินยาวันละหลายครั้ง ปรับยายาก การวัดระดับก็มีตัวแปรปรวนสูง คาดเดาผลการรักษาได้ยาก ปัจจุบันเราจึงเปลี่ยนมาใช้ levothyroxine แทน
levothyroxine เป็นฮอร์โมนสังเคราะห์ชนิด T4 ฮอร์โมนที่ออกมาจากต่อมไทรอยด์และขนส่งได้ง่าย (ร่างกายเปลี่ยน T4เป็น T3 ที่จุดออกฤทธิ์ของฮอร์โมน) ปรับให้อยู่ได้นาน คงที่ กินยาวันละครั้ง หรือหากปรับยายากอาจกินสัปดาห์ละสองถึงสามครั้งก็พอ เรียกว่าสะดวกกว่า คาดเดาผลการรักษาและปรับยาง่ายกว่ามาก
ก็เป็นว่า JFK มีการทำลายของต่อมไร้ท่อสองต่อมที่ชัดเจนคือ ไทรอยด์และต่อมหมวกไต ข้อสันนิษฐานว่าอาจจะเป็นวัณโรคที่ต่อมหรือแอนติบอดีทำลายต่อม ก็จะเด่นชัดกว่าประเด็นอื่น
มีบันทึกต่อไปจากแพทย์ที่ทำเนียบขาวว่า JFK ต้องมารับการฉีดวิตามิน B12 อยู่เป็นประจำ บันทึกตรงนี้น่าจะบอกชัดเจนว่า JFK น่าจะเป็นโรค autoimmune polyendocrine syndrome เนื่องจากแอนติบอดีมันไปทำลายการดูดซึมวิตามิน B12 ด้วยนั่นเอง เกิดเป็นโรคซีดที่ชื่อว่า pernicious anemia หรือ Addison's anemia
การขาดวิตามิน B12 นี้เกิดจากมีแอนติบอดีไปจับทำลายโปรตีนที่ชื่อว่า intrinsic factor ผลิตจากกระเพาะอาหาร ช่วยพาวิตามิน B12 ไปดูดซึมที่ลำไส้โดยไม่โดนกรดในกระเพาะทำลายเสียก่อน หากเราขาด intrinsic factor วิตามิน B12 ก็ดูดซึมไม่ได้ การรักษาจึงต้องฉีดวิตามิน B12 นั่นเองเพราะกินไปก็ไม่ดูดซึม
บางคนที่มีอาการนี้อาจใช้ยากินวิตามิน B12 ขนาดสูงก็พอรักษาได้ อาจเพราะการทำลายมันไม่ได้ทำลายทั้งหมด หรือการขาดวิตามิน B12 จากกลไกอื่นจะสามารถกินวิตามิน B12 เสริมเพื่อรักษาได้ เช่น การขาดวิตามิน B12 จากการกินยาเบาหวาน metformin
แต่ JFK ต้องฉีดวิตามิน B12 เป็นประจำ (แต่ผมไม่พบว่าเขาเป็นโรคโลหิตจางนะ) น่าตะเกิดจากการดูดซึมวิตามิน B12 ไม่ได้จากโรค pernicious anemia ที่มักพบร่วมกับ Addison's disease นั่นเอง
เราน่าจะสรุปได้ล่ะว่า JFK ป่วยเป็นโรค Autoimmune Polyendocrine Syndrome (Type II) ต้องทนทุกข์ทนมานจากโรคมานาน ทั้งการฝังยาสเตียรอยด์ ผลข้างเคียงจากการใช้สเตียรอยด์ ต้องมาฉีดวิตามิน B12 และกินยาไทรอยด์วันละสองครั้ง มันช่างเป็นชีวิตด้านมืดเสียจริง
ด้วยเทคโนโลยีการรักษาที่ยังไม่ก้าวหน้า ขนาดยาสเตียรอยด์แบบกินที่ JFK ใช้ เพิ่งจะมีในปี 1950 นี่เอง ก่อนหน้านี้การจะได้ cortisone มานั้นแสนยาก ต้องสกัดมาจากต่อมหมวกไตของควายหลายร้อยกิโลกรัมจึงได้ cortisone บริสุทธิแค่ 25 กรัม เทียบกับการสังเคราะห์และการผลิตยาในปัจจุบัน เรามียา prednisolone ที่ราคาถูกมากแถมฤทธิ์แรงกว่า cortisone หลายเท่า
ทำให้คนที่เป็นโรค Autoimmune Polyendocrine Syndrome มีชีวิตไม่นาน ข้อมูลการศึกษาก็น้อย JFK เองก็เป็นหนึ่งในผู้ที่มีชีวิตไม่นาน หลังจากรักษามานานเกือบ 20 ปี ก็มาปิดฉากบนรถลิมูซีน
ในขณะที่รถแล่นผ่านฝูงชนไปนั้น มือปืนได้เล็งศีรษะท่านประธานาธิบดี เหมือนหลุดมาจากเกม sniper elite ยากนักที่จะหลบได้ ในวินาทีที่มือปืนลั่นกระสุน ท่านประธานาธิบดีคิดได้ว่า
"กูลืมกิน liothyronine นี่หว่า"
ว่าแล้วก็เอื้อมมือไปหยิบขวดยาในช่องประตู ตำแหน่งศีรษะก็เลื่อนไป แน่นอนกระสุนปีนไรเฟิลนั่นพลาดเป้าไปเพียงเส้นยาแดงผ่าแปด ... แปดนะแปด อ่านดี ๆ
แต่ทันใดนั้น ลูกปืนที่หลุดวิถีไปแล้วกลับไซด์โค้งเข้าหาศีรษะของท่านประธานาธิบดีอย่างเหลือเชื่อ ราวกับลูกฟรีคิกของเดวิด เบ๊คแฮ่ม ปัง..ลูกเดียวน็อก
ใครกันที่จะเปลี่ยนวิถีกระสุนได้ ใครกันที่ควบคุมโลหะได้ ปริศนาได้เผยออกมาจนได้ คนที่สังหารประธานาธิบดี จอห์น เอฟ เคเนดี้ ตัวจริงแอบซ่อนในฝูงชนนั่นเอง แว่บที่เขาโบกมือควบคุมกระสุน เผยให้เห็นรอยสักที่แขน รอยสักที่ได้มาจากค่ายกักกันเอ๊าชวิทช์ ค่ายที่เป็นต้นกำเนิดพลังควบคุมโลหะบันลือโลกนี้ ใช่แล้ว มือสังหารนั่นก็คือ
เอริก เลนห์เช่อร์ หรือ แมกนีโต ตัวร้ายที่เท่ที่สุดของ X-men ....
จบบริบูรณ์

2 ความคิดเห็น:

  1. คนเขียนมีจินตนาการมากๆ นับถือๆ 🙏🙏🙏

    ตอบลบ
  2. คนเขียนมีจินตนาการมากๆ นับถือๆ 🙏🙏🙏

    ตอบลบ