01 มีนาคม 2563

โควิดก็ยังอยู่ ลุงฟลู (Flu) ก็ไม่น่าไว้วางใจ

โควิดก็ยังอยู่ ลุง...ก็ไม่น่าวางใจ
คุณคิดว่า ลุง... คือลุงไหน ไปชงกาแฟอุ่น ๆ ขนมปังญวนร้อน ๆ สักชิ้นแล้วมานั่งฟังกัน บทความนี้ยาวมาก แต่อ่านได้เรื่อย ๆ ละมุนใจ
ในสถานการณ์โควิดสิบเก้าที่ร้อนแรง เนื่องจากการติดต่อแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว เพราะการเดินทางที่ไร้ขอบเขต ตัวเลขแนวโน้มปัจจุบันเริ่มลดลง ผู้ป่วยใหม่เริ่มชลอตัว เนื่องจากเราเริ่มรู้จักมัน กักกันมันได้ ด้วยมาตรการการแยกผู้ป่วย การรักษาอนามัยบุคคล ทำให้โรคนี้เริ่ม..ชะลอตัว แต่ว่ายังไม่หมดไป ในขณะที่เราต้องเผชิญกับโควิดสิบเก้า เรายังมีมหันตภัยอีกอันหนึ่งที่กำลังก่อตัวขึ้น
ไข้หวัดใหญ่ ศัตรูเก่าแก่ของเรามาร่วมร้อยกว่าปี เริ่มจากการระบาดนับสิบล้านคน ในเหตุการณ์หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง การระบาดมาจากทรัพยากรที่ขาดแคลนและสุขอนามัยที่แย่มากในช่วงสงคราม หลังสงครามสิ้นสุด มีรายงานผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่ในอเมริกา ยุโรป เอเชีย และแอฟริกาตอนเหนือ เราเรียกชื่อการระบาดไข้หวัดครั้งนั้นว่า ไข้หวัดสเปน หนึ่งในมหันตภัยที่คร่าขีวิตมนุษย์มากที่สุดหนหนึ่ง จำนวนผู้เสียชีวิตเกือบ ๆ เท่าสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง "หลายล้านคน" เรียกว่าพอหมดสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและไข้หวัดสเปน ประชากรโลกหายไปกว่าครึ่ง
ครั้งนั้น การควบคุมโรค การรักษาอนามัยเพื่อป้องกันการกระจายยังทำได้ไม่ดี การรักษายังไม่ดีเท่า เครื่องช่วยหายใจเครื่องแรกในโลกเพิ่งถือกำเนิด แม้การเดินทางยังไม่ไร้พรมแดนเช่นปัจจุบัน โรคก็รุนแรงและแพร่หลายมาก
เวลาผ่านไปกว่าร้อยปี เชื้อไข้หวัดใหญ่มีการเปลี่ยนสายพันธุ์และเกิดการระบาดหลายครั้ง เช่น ไข้หวัดฮ่องกง ไข้หวัดนก ล่าสุดคือ ไข้หวัดหมู 2009 แต่ละครั้งการระบาดเป็นระดับ pandemic คือระบาดทั้งโลก การแพร่กระจายในวงกว้างเกิดกว้างไกลมากเพราะการเดินทางที่ไร้พรมแดน แต่ว่า
ความรุนแรงไม่สูงมากเพราะเทคโนโลยีที่ล้ำหน้า เราสามารถจัดการได้ดี และมีมาตรการการควบคุมโรคที่ดี ในการระบาดครั้งหลัง ๆ เราเรียนรู้ เรามีการตอบสนองต่อการระบาดที่เร็วขึ้นกว่าเดิม ช่วงเวลาที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกสั้นลงมาก ยกตัวอย่างไข้หวัดหมูเม็กซิโก ข่าวการแพร่ระบาดและกักกันเกิดในไม่กี่สัปดาห์ หรืออย่างโควิดนายทีน จีนก็จัดการเร็วมาก
ถามว่าโรคร้ายแรงกว่าเดิมหรือไม่ ตอบว่าใช่ มีการกลายพันธุ์ตลอด แต่เราก็เก่งเช่นกัน เราเก่งอย่างไร มา...มาฟังต่อ
ถ้าเราจำได้ การเรียกเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่จะเรียกตามโปรตีนสองชนิด คือ H hemaglutinin และ N neuraminidase เจ้าโปรตีนสองชนิดนี้เป็นประเด็นหลักในการติดเชื้อ คือ H ใช้สำหรับเข้าเซลล์ ส่วน N ใช้สำหรับออกจากเซลล์ เช่น H3N2, H1N1 เราผลิตยาที่ไปยับยั้ง N ทำให้เชื้อแพร่กระจายต่อไม่ได้ คือยา oseltamivir และล่าสุด เราพัฒนายาที่ยับยั้งการสร้างสารพันธุกรรมของไวรัส ชื่อยา baloxavir แต่ก็ยังไม่พอ
เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สามารถติดต่อจากคนสู่คนได้อย่างรวดเร็ว ผ่านการติดต่อทางสารคัดหลั่ง ทางละอองฝอยน้ำมูกน้ำลายและผ่านทางเข้าที่เราใช้มากที่สุด ... มือเรานั่นเอง ด้วยความที่มันติดต่อรูปแบบเดียวกับไวรัสโควิดนายทีน ขณะที่เรามีมาตรการการป้องกันโควิดนายทีนที่เข้มข้น การระบาดของไข้หวัดใหญ่จึงลดลงไปด้วย จากข้อมูลการรวบรวมการระบาดไข้หวัดใหญ่ขององค์การอนามัยโลก ข้อมูลชุดนี้น่าสนใจมากและมีการแยกแยะนำเสมออย่างเป็นระบบ เข้าถึงได้ง่าย ใครสนใจสามารถเข้าชมได้ที่ WHO influenza surveillance : FLUNET ที่แยกประเทศ ผู้สงสัยและการตรวจยืนยัน
เมื่อย้อนกลับไปในเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ประเทศไทยมีตัวเลขผู้เข้าข่ายสงสัยไข้หวัดใหญ่สูงถึง 90,000 คน ในจำนวนนี้มีคนที่ส่งตรวจและพบว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ถึง 60% คิดง่าย ๆ คือ ห้าหมื่นกว่าคน ในขณะที่ปีนี้มีตัวเลขผู้ป่วยที่เข้าข่ายต้องสงสัย ประมาณ 50,000 รายเท่านั้น เป็นการยืนยันการติดเชื้อถึง 50% คือประมาณ 20,000 ราย
หากดูตัวเลขแล้วจะพบว่าขนาดปัญหายังใหญ่กว่าโควิดนายทีนมากมายนัก และตัวเลขลดลงด้วยการป้องกันอย่างหนักหน่วงด้วยวิธีเดียวกัน ตัวเลขของไข้หวัดใหญ่เป็นแบบนี้เกือบทุกปี เพราะคุณสมบัติอันหนึ่งของไข้หวัดใหญ่คือการเปลี่ยนแปลงตัวเองทุกปี ทำให้เราคาดเดาการระบาดได้ระดับหนึ่งเท่านั้น อย่างในปีก่อนช่วงเวลาเดียวกันนี้ ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์บีระบาดหนัก แต่ปีนี้เรากลับพบสายพันธุ์เอมากกว่า เพราะเชื้อไข้หวัดใหญ่เปลี่ยนแปลงพันธุกรรมทุกปีเรียกว่า antigenic shift องค์การอนามัยจึงต้องคาดเดาการระบาด
การคาดเดาการระบาด องค์การอนามัยโลกจึงประกาศวัคซีนไข้หวัดใหญ่ทุกปีและเราก็ต้องฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่กันใหม่ทุกปีนั่นเอง
ด้วยมาตรการวัคซีนที่องค์การอนามัยโลกประกาศ เราสามารถควบคุมการระบาด ลดการป่วยและผลแทรกซ้อนจากโรคได้มากมาย แต่การใช้วัคซีนรายปีก็ยังต้องรอการระบุสายพันธุ์นำมาทำวัคซีนให้เฉพาะเจาะจงกับแต่ละตัวในแต่ละปี หากการระบาดพลาดจากที่คาดเดากลายเป็นสายพันธุ์อื่น การระบาดจะสูงทีเดียว จาก painpoint อันนี้ ตั้งแต่ปี 2013 องค์การอนามัยโลกเริ่มคิดว่ามันจะดีกว่าไหมหากมีวัคซีนที่สามารถบล็อกได้ทุกสายพันธุ์และไม่ต้องฉีดซ้ำทุกปี
วัคซีนตัวใหม่จะไปกระตุ้นการสร้างแอนติบอดี ไม่ว่าจะเป็น univeral H antibody และ universal N antibody ที่สามารถจัดการไวรัสได้หมดไม่ว่าจะ Hใด หรือ Nไหน ไม่ต้องมาคาดเดาในแต่ละปี ใช้ได้ยาวนาน 5-10 ปีกำลังเข้าใกล้จะออกมาแล้ว การวิจัยในอาสาสมัครที่สุขภาพดีผลออกมาดีมาก อีกไม่นานคงออกมาในชื่อ universal influenza vaccine : one shot for all
เราคงจะจัดการไข้หวัดใหญ่ได้ดีกว่านี้อีกมาก แต่ว่าตอนนี้เรายังต้องฉีดวัคซีนประจำปีกันไปก่อนและหวังว่าในอนาคตอันใกล้ ไข้หวัดใหญ่คงจะน่าไว้วางใจกว่านี้ เพื่อจะเปลี่ยนคำกล่าวที่ว่าไว้ตอนแรก
โควิดก็ยังอยู่ ลุงฟลู (Flu) ก็ไม่น่าไว้วางใจ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น