14 ธันวาคม 2561

CREST

"นี่นายไม่รู้จริง ๆ หรือว่าบ้านหลังนั้นน่ะ..มีอะไร" คำพูดที่ชาวบ้านหลายคนมาเล่าให้ไพศาลหรือ "บักสาน" พ่อค้าขายก๋วยจั้บเจ้าเด็ดที่เพิ่งย้ายมาอยู่ในตำบล

  บักสานลาออกจากงานประจำมาลงทุนทำก๋วยจั้บ เรียกว่าฝีมือดี ขายเกลี้ยงทุกวัน ที่ต้องย้ายมาจากอำเภออื่นเพราะเจ้าของห้องเช่าเขาไม่ต่อสัญญา บักสานจึงมาเช่าบ้านหลังสุดท้ายในตรอกและขายก๋วยจั้บรถเข็นตั้งแต่เช้า เขาได้ค่าเช่าราคาถูกมาก ท่ามกลางเสียงโจษจันว่าบ้านหลังนี้ ไม่ธรรมดา คนที่มาทำสัญญาเป็นผู้ชายผู้เป็นหลานชายเจ้าของบ้านก็ไม่ได้มีอะไรผิดปรกติ เขาจะมาเก็บค่าเช่าทุกวันที่หนึ่ง บักสานเห็นว่าค่าเช่าถูกและบ้านก็ไม่แย่มาก จึงเช่าอยู่

  สามเดือนที่เขาย้ายมาใหม่ ก๋วยจั้บขายดีเป็นเทน้ำเทท่า แต่บักสานก็ยังใช้ชีวิตสมถะ ไม่เที่ยวเตร่ เงินที่หามาได้ก็ส่งทางบ้านและเก็บสะสมไว้ เขาพอใจมากยกเว้นแต่เรื่องบ้า ๆ ที่ชาวบ้านขอบมาเล่า

"เจ้าของบ้านน่ะ เลี้ยงผี"
"ที่ค่าเช่ามันถูกเพราะไม่มีใครทนได้ เจ้าที่เขาแรง"
"เดี๋ยวแกก็จะรู้ อย่าลองดีเลย หาที่อื่นอยู่เหอะ"

  แต่แปลกที่เขาอยู่มาสามเดือนก็ไม่เจออะไร เคยเปรย ๆ กับคุณเดช คนที่มาเก็บค่าเช่า เขาก็บอกเรื่องไร้สาระ คุณเดชเองก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ แกมาเก็บค่าเช่าแถวนี้เดือนละครั้งเท่านั้น บอกว่าเจ้าของบ้านน่ะเป็นคุณป้าของแก ไม่ได้แต่งงาน อยู่คนเดียว อาศัยมรดกเก่ามีบ้านให้เช่าเลี้ยงตัวเองได้ บ้านอยู่อีกฟากของตลาด คุณเดชมาช่วยจัดการเรื่องเงินและสัญญาให้
  วันก่อนคุณเดชมาเก็บค่าเช่าและแจ้งว่าแกจะไม่อยู่หลายเดือน ช่วงที่แกไม่อยู่ คุณป้าของแกจะมาเก็บค่าเช่าเอง แกจะมาวันเดิมแต่จะค่ำ ๆ หน่อย บักสานนึกในใจว่า ดีจังจะได้ทำก๋วยจั้บฝากให้ด้วย คุณป้าแกใจดีคิดค่าเช่าถูกมาก
   และก็มาถึงวันที่หนึ่ง วันครบจ่ายค่าเช่า

  ค่ำวันนั้นบักสานเตรียมอุปกรณ์รถเข็น จุดตะเกียงเจ้าพายุเอาไว้ มีเสียงเคาะประตูหน้าบ้าน บักสานเดินไปดู พบหญิงชราสวมผ้าถุงทอมือลายสวย สวมเสื้อแขนยาวทรงกระบอกและมีเสื้อกันหนาวคลุมทับ สวมหมวกไหมและหน้ากากอนามัย พูดขึ้นเบา ๆ ว่า ป้าเป็นเจ้าของบ้านมาเก็บค่าเช่า
  บักสานไปเปิดกล่องเก็บเงิน เดินถือธนบัตรย่อยปึกนึงมาให้หญิงชรา และเอ่ยว่า "คุณป้านับก่อนนะครับ"
  คุณป้าพูดเสียงอู้อี้ออกมา "เหมือนเดิมเท่าเดิม เอาใบรับเงินไปก็ได้ ป้ามองไม่ค่อยเห็น นับไม่ถูกหรอก"

  บักสานให้คุณป้ารอสักครู่ แล้วเดินไปหยิบตะเกียงเจ้าพายุมาให้คุณป้าได้นับให้เรียบร้อย เนื่องจากที่หน้าบ้านไม่มีเก้าอี้นั่ง ทั้งสองก็ยืนตรงข้ามกันมีโต๊ะไม้เก่า ๆ สูงเท่าเอวที่วางตะเกียงวางตรงกลาง
  บักสานรอคุณป้านับ เนื่องจากเขาหาเช้ากินค่ำ ธนบัตรที่เตรียมให้จึงเป็นธนบัตรปลีกย่อยทั้งหมด เขายืดตัวบิดคลายความเมื่อยล้า จังหวะนั้นเอง เขาเหลือบมองเห็นมือคุณป้า !!

  บักสานใจสั่น ตกใจ แต่เก็บความรู้สึกนั้นไว้ได้ สิ่งที่บักสานมองเห็นคือ มือของคุณป้าที่ยื่นออกมาจากแขนเสื้อเป็นมือที่เล็ก นิ้วแหลมเรียวราวกับแท่งดินสอ มือที่นับอยู่นั้นซีดขาวราวกับไม่มีเลือด แต่ทว่ามืออีกข้างกลับมีสีเลือดคล้ำ ๆ เหมือนมาจากคนละคน ปลายนิ้วมีปุ่มปมกระจัดกระจายทั่วไป
  เมื่อนับเสร็จ คุณป้ายื่นใบรับเงินให้บักสานและกล่าวว่าเธอขอตัว อากาศเย็นมากแล้ว ตอนที่เงยหน้ามานั้นบักสานคิดว่าเขามองเห็นรอยสักแปลก ๆ สีแดงคล้ำ ๆ เป็นจุด ๆ กระจายที่ลำคอและหน้าผาก และไฝเม็ดเล็กที่หางตาซ้าย เพราะว่าแสงตะเกียงสั่นมาก จึงมองเห็นเท่านี้

  บักสานจำได้ว่าเมื่อครั้งเขายังเด็ก มีพ่อแก่ในหมู่บ้านเคยเล่าว่า ผีแม่มดจะสักตัวเป็นจุด ๆ เพื่อแสดงตัวเป็นเจ้านายภูติผี  เขาไม่เคยเห็นของจริง จนวันนี้
เย็นวันต่อมา ทิดป๋อมกับโกตู้ สองนักร่ำสุราแห่งหมู่บ้าน มานั่งตั้งวงร่ำสุรากับบักสาน เมื่อเหล้าเข้าปากการสนทนาก็เริ่มเข้มข้น บักสานเล่าเรื่องราวที่เจอคุณป้าเจ้าของบ้านให้ทั้งสองฟัง
  "ไงล่ะ ข้าว่าแล้ว ที่ใคร ๆ ว่าบ้านนี้ของมันแรง เนี่ยแสดงว่าต้องเป็นผีแม่มดเจ้าของบ้านนี้แน่ ๆ " ทิดป๋อมตบเข่าดังฉาด
  "นี่สรุปเอ็งก็ไม่เคยเจอรึ ฟังเขามาอย่างเดียว" โกตู้ยิ้มหยัน ๆ แล้วกล่าวต่อไป "งั้นเอ็งฟังข้า ข้านี่เจอมาแล้ว "
  โกตู้เล่าเรื่องราวที่ครั้งหนึ่งเขาไปดักตัวแลนที่ชายป่าใกล้ ๆ บ้านคุณป้า เขาลองย่องไปแอบมองลอดรั้วไปในบ้านของหญิงชรา สิ่งที่เขาเห็นคือ ใบหน้าของหญิงชรานั้น จมูกงุ้มแหลม มีรอยสักตามใบหน้า หลอดเลือดชัดเจน กินข้าวต้มเละ ๆ ผักต้มและปลา
  "พวกผีแม่มดน่ะ มีอาคม จะกินข้าวปลาเหมือนอย่างพวกเราไม่ได้ ของจะเสื่อม ต้องกินของเปื่อย ๆ "
  บักสานฟังขี้เมาทั้งสองเล่าแล้วส่ายหน้า "มันจริงหรือว้า ฟังเขามา เขาเล่ามาแล้วมาต่อเรื่องราวเป็นตุเป็นตะกันเองทั้งนั้น ไป ๆ กลับบ้านกลับเรือน มืดแล้วเดี๋ยวเมียพวกเอ็งจะมาอาละวาดอีก"
  สองนักร่ำสุรากลับไปแล้ว คืนนั้น บักสานนอนคิดถึงเรื่องราวที่พ่อแก่เล่าให้ฟังว่าผีแม่มดนั้น จะมีกรรมทำให้ต้องดูดกินอาหาร ไม่สามารถกินข้างอย่างเรา ๆ ได้    เขานึกในใจ มันไม่น่าจะเป็นไปได้นะ ... บักสานลุกขึ้น เขียนจดหมายถึงเพื่อนเก่าคนหนึ่ง หวังว่าเขาคงสามารถช่วยแก้ไขปริศนานี้ได้
  สองสัปดาห์ต่อมา ที่บ้านบักสานก็มีแขกมาเยือน เป็นชายหนุ่มวัยประมาณสามสิบปลาย ๆ ใบหน้าคมสันแบบชายไทย รูปร่างสูงโปร่ง ผิวสีกร้านแดด ชายหนุ่มมาตามคำบอกเล่าของบักสาน และวันนี้คือวันที่หนึ่งของเดือน ชายหนุ่มต้องการจะมาพิสูจน์คำบอกเล่าของชาวบ้านและของบักสานเอง ว่าผีแม่มดอย่างที่เขาเคยได้ยินเรื่องเล่ามาแต่อดีตมีจริงหรือไม่
  เย็นวันนั้นบักสานกับชายหนุ่ม นั่งกินลาบปลา คั่วเนื้อขาลายและแกงส้มปลากระบอก รอหญิงชรามาเก็บค่าเช่า แต่เวลาก็ล่วงมาถึงเกือบสองทุ่ม หญิงชราก็ยังไม่มา
  "แปลกมาก ปกติแกจะมาเก็บค่าเช่าตรงวัน ตรงเวลาเป๊ะเลย หรือป้าเขารู้ว่าแกมา" บักสานกล่าวขึ้น
"เป็นไปไม่ได้หรอก เราลองเดินไปดูกันไหม" ชายหนุ่มไม่พูดเปล่า คว้าไฟฉายและไม้หน้าสามเผื่อป้องกันตัวไปด้วย

  เดินตัดชายป่าไปไม่ไกล ทั้งคู่ก็เดินมาถึงบ้านของหญิงชรา แสงไฟตะเกียงจากในบ้านลอดออกมา ชายหนุ่มทั้งสองแง้มประตูรั้วและค่อย ๆ ย่องเข้าไปในบ้าน แคร่ไม้ไผ่ตรงครัวหน้าบ้านนั้น มีกองถ้วยชามที่ยังไม่ได้ล้าง และโถใส่ข้าวต้มเหลือเกือบครึ่ง ผักต้ม ฟักทองต้มเปื่อย วางกองเอาไว้ อีกจานเป็นปลาช่อนนึ่ง กินไปไม่ถึงครึ่งตัว
  "ดูดกินของเปื่อยจริงด้วย" บักสานกระซิบเบา ๆ 
  "แปลกดีนะ อาหารพวกนี้ยังไม่บูดเลย แสดงว่าเพิ่งทำ แต่กินไม่หมด วางเกะกะเหมือนไม่ได้เก็บ" ชายหนุ่มตั้งข้อสังเกต
  เสียงหายใจหอบ ๆ และเสียงไอดังออกมา เป็นระยะ ๆ บักสานตัดสินใจเรียก "คุณป้าครับ ผมไพศาลนะครับ นำค่าเช่ามาให้ วันนี้เห็นคุณป้าไม่ไปเก็บเลยเดินมาดูกัน" ..
..
  ตุ๊บ เสียงของหนัก ๆ หล่นลงบนพื้น บักสานและชายหนุ่มตัดสินใจผลักประตูเข้าไป ภาพที่ทั้งสองเห็นคือคุณป้าตกจากเตียง และหอบเหนื่อย ทั้งสองอุทานพร้อมกัน..เฮ้ย!!  แล้วเข้าไปช่วยคุณป้าโดยที่บักสานพุ่งเข้าไปอย่างไม่ลังเล ส่วนชายหนุ่มคนนั้นชะงักอยู่สักครู่แล้วตามเข้าไปช่วย
  พอถึงโรงพยาบาล ชายหนุ่มได้โทรศัพท์ติดต่อกับเพื่อนของเขาที่เป็นหมอที่รพ.จังหวัด แล้วรถโรงพยาบาลก็ออกไปในตอนหัวค่ำนั่นเอง
  ระหว่างทางที่ชายหนุ่มทั้งสองขับรถกลับบ้าน บักสานก็ถามว่า "นี่แกรู้แล้วหรือว่าคุณป้าแกเป็นอะไร"
ชายหนุ่มคนนั้นบอกเสียงเรียบ ๆ "บอกตามตรงนะ กันไม่ค่อยเชื่อเรื่องผีแม่มดอะไรนั่นหรอก เลยมาดูด้วยตัวเอง ถ้าเป็นอย่างที่กันคิดนะ แกไม่ได้เป็นแม่มดหรอก แกเป็นโรค "
  ชายหนุ่มอธิบายต่อ "ที่ป้าแกมือเล็กเรียวแบบนั้นเป็นลักษณะมือของคนเป็นโรคหนังแข็ง และถ้าสังเกตดี ๆ มีตุ่มก้อนเล็ก ๆ ที่นิ้วมือด้วย เป็นตุ่มก้อนผลึกหินปูนแคลเซียม ส่วนมือที่เห็นเปลี่ยนสีได้เป็นลักษณะหลอดเลือดอักเสบที่พบในหนังแข็งนี่แหละ จะตอบสนองต่อความเย็น ซีด ม่วง แดง สลับกันไป"

  "อ้าว แล้วรอยสักแม่มด กับดูดกินของเปื่อยล่ะ อันนี้แม่มดแน่ ๆ ชาวบ้านเขาก็ยืนยัน" บักสานเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
  "รอยสักแดง ๆ ที่แกเห็นนั้น ไม่ใช่รอยสักหรอกนะ แต่เป็นหลอดเลือดฝอยที่เรียงตัวผิดปกติเป็นปื้นคล้ายปานแดงที่ผิวหนัง แต่นี่เป็นจุดเล็ก ๆ กระจายออกไป แล้วที่เห็นว่าคุณป้าแกดูดกินของเปื่อย จริง ๆ น่ะเพราะแกกลืนลำบาก อันเป็นลักษณะของโรคหนังแข็งนี้เหมือนกัน เพราะเราไม่รู้ไง เราเลยคิดว่าคุณป้าแกผิดไปจากเรา เนี่ยละน้า จำไว้เลย อย่าตัดสินใครเพียงเพราะคำพูดคนอื่น" ชายหนุ่มอธิบาย
"ภาษาหมอเขาเรียกอาการนี้ว่าเครส CREST c คือ calcinosis cutis ตุ้มก้อนแคลเซียมที่ผิวหนัง ตัว r คือ Raynaud's phenomena หลอดเลือดอักเสบ ซีด ๆ ม่วง ๆ เขียว ๆ ที่มือ ต่อมาตัว e คือ esophageal dysmotility การกลืนที่หลอดอาหารผิดปกติ ตัว s คือ sclerodactyly มือเล็กเร็ยว แข็ง และตัวสุดท้ายคือ t telangiectasia หลอดเลือดปื้น ๆ ใต้ผิวหนัง" ชายหนุ่มสาธยาย

"โห ทำไมแกรู้ล่ะ" บักสานทึ่งมาก "และอย่าบอกนะที่แกหอบ ๆ นั่นก็โรคนี้"
"ใช่แล้ว เข้าใจง่ายนี่นา ปอดเป็นพังผืดและความดันเลือดที่ปอดสูง เป็นผลข้างเคียงที่สำคัญของโรคนี้ แสดงว่าแกแย่ลงมาไม่กี่วัน จานชามไม่เก็บ กินยังเหนื่อย นี่ถ้าเราไม่มาดู อาจจะแย่ไปแล้ว"
  บักสานเห็นด้วย "พวกชาวบ้านคงไม่มาดูแน่ ๆ หลานชายแกก็ไม่อยู่ ดีนะที่แกมาตามคำชวน ไม่งั้นเราอาจเสียแกไปแล้ว หลงคิดอยู่นานว่ามีผีแม่มด ต่อไปนี้ก็ไม่น่ากลัวแล้ว ดีนะเนี่ยที่แกไม่กลัวผี"

  ชายหนุ่มยิ้ม ..นึกในใจ หึหึ มันก็ไม่แน่หรอก..
  ระหว่างทางชายหนุ่มคิดทบทวนถึงเรื่องราวตอนที่บุกเข้าไปช่วยหญิงชรา เขาไม่ได้บอกบักสานว่าในขณะที่เห็นหญิงชราทรุดลง เขาชะงักไปชั่วขณะ แทบไม่เชื่อสายตาตัวเองว่า เขาเห็นเงาควันจาง ๆ เป็นรูปหญิงตาโหลลึก จมุกงุ้ม ตาแวววับสีเหลือง ไร้ซึ่งรอยปานแดง และมีไฝเม็ดเล็ก ๆ อยู่เหนือหางตาข้างขวา !!
  เงานั่นลอยนิ่งอยู่เหนือตัวคุณป้าสักครู่อึดใจ แล้วค่อย ๆ ลอยจากไป

  เขาไม่เคยเชื่อเรื่องของเหนือธรรมชาติเลย มาจนวันนี้ และนึกในใจ เราคงไม่มาที่หมู่บ้านนี้อีก
  เขาแอบมองกระจกหลัง และหวาดหวั่นใจว่าจะเจออะไร แต่ก็ไม่มีอะไร จึงปรับกระจกลง เห็นเป็นเสื้อยืดสีขาว ตัวอักษรสกรีนสีน้ำเงินเข้มที่หน้าอก และ....
....
....พระเครื่องสมเด็จวัดระฆังสามองค์ที่แขวนทับลายสกรีนเสื้ออันลือลั่นนั้น

จบบริบูรณ์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น