06 มิถุนายน 2561

PM2.5 ฝุ่นขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน

เมื่อหลายเดือนก่อนเรื่องราวของ PM2.5 ฝุ่นขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอนได้เป็นข่าวโด่งดังไปทั่วทุกวงการ เจ้าฝุ่นเล็กจิ๋ว จิ๋วขนาดไหน คิดว่า 1เมตรประกอบด้วย 1 ล้านไมครอนแล้ว 2.5 ไมครอนจะเล็กขนาดไหน เล็กกว่าเม็ดเลือดแดงเสียอีก ด้วยความที่มันเล็กมากจนมองไม่เห็นพวกเราจึงไม่ได้ตระหนักถึงอันตราย ข้อมูลจากการเก็บตัวอย่างประชากรที่ต้องเสี่ยงอยู่ในภาวะแวดล้อมที่มีฝุ่น PM2.5 อยู่นานๆ มีโอกาสเสี่ยงการเป็นมะเร็งเพิ่มขึ้น เพิ่มการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดเพิ่มขึ้นด้วย
แนวทางการรักษาโรคถุงลมโป่งพอง 2018 ได้กล่าวถึงตัวเลข 2.5 ไว้สองกรณี
กรณีแรก PM2.5 กับการเกิดโรคถุงลมโป่งพอง
ปัจจัยการเกิดโรคนี้ที่สำคัญคือสิ่งกระตุ้น แน่ๆล่ะคือบุหรี่ทั้งควันมือหนึ่งและมือสอง ส่วนฝุ่นมลภาวะในอากาศทั้งในบ้านและนอกบ้านก็เป็นสาเหตุการเกิดโรคที่สำคัญ ฝุ่นควันพวกนี้มองเห็นด้วยตาเปล่า สำหรับ PM2.5 ที่มีขนาดโมเลกุลเล็กมากนั้นสามารถเข้าไปถึงส่วนลึกสุดของทางเดินหายใจได้ก็จริง แต่การเข้าไปถึงกับการเกาะตัวจนเกิดโรคกลับไม่ไปด้วยกันนัก
ด้วยความที่มันเล็กมาก ขนาดที่เล็กประมาณ 2.5-5 ไมครอนเราเรียกว่า extrafine granule บางครั้งมันลงไปกับลมหายใจเข้าแต่ก็ออกมากับลมหายใจออกเช่นกัน หรือน้ำหนักไม่มากพอที่จะลงไปถึงส่วนล่างถูกลมพัดออกมาหมด
การเกิดโรคถุงลมโป่งพองจึงยังไม่ชัดเจนนัก มีความสัมพันธ์เรื่องสมรรถภาพปอดที่แย่ลงจากการศึกษาระยะสั้นๆแต่ยังไม่สามารถแปลผลไปถึงเป็นปัจจัยเสี่ยงการก่อโรค
ควันและฝุ่นที่มองเห็นยังเป็นอันตรายที่มีข้อมูลสนับสนุนชัดเจนมากกว่า สำหรับโรคถุงลมโป่งพอง
กรณีที่สอง 2.5 ไมครอนกับ extrafine granules
วิวัฒนาการและความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีการแพทย์ สามารถผลิตอนุภาคยาขนาดเล็กที่สามารถลงไปออกฤทธิ์ในหลอดลมส่วนเล็กๆ ลึกๆ ได้ดี ผ่านทางอุปกรณ์ต่างๆที่มีการคิดค้นเชิงวิศวกรรมมาอย่างดี เช่นการทำยาสูดพ่นสเตียรอยด์ที่มีขนาดเล็กประมาณ 5 ไมครอนที่เรียกว่า fine granules
แต่หากสามารถผลิตยาและส่งอนุภาคของยาให้ลงไปจุดออกฤทธิ์ได้ดีกว่านี้ น่าจะควบคุมโรคได้ดีก็เป็นที่มาของ extrafine granules คือไม่เกิน 2 ไมครอน (ยังมี ultrafine granules ที่เล็กกว่านี้อีกนะ) สำหรับยาสูดรักษาหอบหืดและถุงลมโป่งพอง
ผลการศึกษาออกมาว่าหากใช้อนุภาค extrafine ร่วมกับความเร็วนำส่งที่แรงพอ จะสามารถส่งยาเข้าไปได้ดี การควบคุมโรคและการลดการกำเริบทำได้ดีมากขึ้นชัดเจน ต่อยอดมาถึงงานวิจัยในคนที่สำคัญ จนทำให้ extrafine เข้ามาอยู่ในแนวทางได้คือ TRINITY study ที่ใช้ beclomethasone/tiotopium/formoterol เป็นยาหลักสามตัวที่ใช้รักษานำมาบีบอัดเป็น extrafine granules ผลปรากฏว่าประสิทธิภาพสูงกว่ายาเดี่ยวหรือยาสองตัวอย่างชัดเจน ดูรายละเอียดได้ที่นี่
ย้ำว่าต้องใช้ขนาดเล็กมากๆนี้กับอุปกรณ์นำส่งที่มีความเร็วลมเหมาะสมด้วยนะครับ จึงจะสามารถส่งอนุภาคขนาด 2.5 ไมครอนลงไปถึงจุดออกฤทธิ์ได้
เล็ก...ก็เล็กพริกขี้หนู เผ็ดแซ่บ พวกที่ใหญ่แต่จืดๆอย่างพริกหยวก ก็สู้ไม่ได้นะจ๊ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น