05 มีนาคม 2561

deadly anatomy 2

ต่อเนื่องจากเรื่องราวของ body snatcher เหล่านักขุดศพเพื่อไปขายในการเรียนกายวิภาคยุคศตวรรษที่สิบเจ็ด ก่อให้เกิดอาชญากรรมที่เป็นที่เล่าขานจนทุกวันนี้
เรื่องแรก ... ยักษ์ใหญ่แห่งไอริช ..
ท่านคงสงสัยว่า อ้าว..!! ขโมยศพ ไม่ผิดกฎหมายหรือ คือว่าในสมัยนั้นยังไม่มีการกำหนดว่าศพเป็นทรัพย์สินดังเช่นปัจจุบัน อาชญากรรมนั้นจะเกิดเมื่อขโมยทรัพย์สินเสื้อผ้า สมบัติของศพ ต่างหาก แต่ผมก็ไม่พบว่าเหล่านักขุดศพนำไปแต่ร่างจริงหรือไม่ ทราบแต่ในถุงที่ไปส่งโรงเรียนแพทย์นั้นไม่มีทรัพย์สินแล้วเพื่อหลีกเลี่ยงคดี ทำให้งานนี้ก็ไม่ได้สะดุดตาผู้รักษากฎหมายสักเท่าไหร่ และเจ้าของสินทรัพย์ไม่ได้ลุกมาโวยวายแน่ๆ การขุดศพก็แพร่หลายตลอด
และใช้คำว่า body snatcher ไม่ได้ใช้คำว่า thief เพราะเขาไม่ได้ขโมยทรัพย์สินใดๆ
แต่แล้วก็เริ่มมีความกังวลในหมู่คนมีสตางค์ในสมัยนั้น ด้วยมีความเชื่อว่า หากถูกลักขโมยศพไปแล้ว เมื่อถึงวันชี้ชะตา เวลานั้นดวงวิญญาณของเขาจะไม่สมบูรณ์ พวกเศรษฐีเริ่มเป็นห่วงสวัสดิภาพตัวเองหลังจากตายแล้ว
โลงศพที่เป็นโลหะ กรงเหล็กเริ่มได้รับความนิยม ด้วยคาดว่าจะหยุดยั้งนักขุดศพไม่ให้นำร่างของตนไปได้ เรียกโลงศพแบบนั้นว่า "mortsafes"
คุณๆคิดว่ามันปลอดภัยหรือไม่ ..?
Charles Bryne ชายชาวไอริช (1761-83 ; อายุแค่ 22 ปี) ผู้ได้รับการบันทึกในยุคนั้นว่าสูงที่สุด ตามหลักฐานโครงกระดูกคือ 231 เซนติเมตร ..อ้าวๆ..ทำไมถึงมีกระดูกเหลืออยู่ล่ะ สมัยนั้นจะผ่าศพเก็บกระดูกไว้เรียนเฉพาะนักโทษประหารนี่นา หรือ Bryne เป็นนักโทษประหาร เปล่าเลย เขาก็ตกเป็นเหยื่อของเหล่านักขุดศพเช่นกัน
กระดูกยักษ์นี้ปัจจุบันตั้งไว้ที่ พิพิธภัณฑ์ราชวิทยาลัยศัลยแพทย์ที่ลอนดอน แต่ก่อนหน้านี้มันซับซ้อน
ก่อนที่ Bryne จะเสียชีวิตเขาก็หวาดกลัวว่าเหล่านักขโมยศพจะลักขโมยศพเขาเช่นกัน เขาได้สั่งพินัยกรรมก่อนตายว่า ให้ทำโลงศพเขาและปิดฝาโลงด้วยตะกั่วแล้วนำไปทิ้งทะเลเสีย (ดีนะ ไม่มาเกิดสารขันธ์แลนด์ ไม่งั้นเรียก จับถ่วงน้ำ) ด้วยความที่รู้ตัวว่าสูงใหญ่ผิดมนุษย์มนา เขาย่อมเป็นที่หมายปองของคนที่จ้องศึกษาเขาหลังความตายแน่ๆ
บรรดาคนที่รับเรื่องของเขาคือบรรดาเพื่อนๆและ John Hunter นักกายวิภาคชื่อดังของลอนดอน และหลังจากที่เขาเสียชีวิตไป ก็ปรากฏโครงกระดูกของเขาตั้งโชว์ที่พิพิธภัณฑ์กายวิภาคส่วนตัวของจอห์น ฮันเตอร์นั่นเอง !!
จอห์น ฮันเตอร์แก้ต่างว่า จริงๆแล้วคุณบรีนต้องการให้นำศพมาศึกษาต่างหาก ขัดกับคำให้การของพยานอีกหลายคน สุดท้ายเรื่องนี้ก็..จบแบบดื้อๆแบบนี้แหละ ไม่รู้ว่าที่สุดเป็นแบบใด
แต่ว่าในอีกแง่หนึ่ง โครงกระดูกของ Bryne ก็ได้รับการศึกษาอย่างละเอียดจนพบโรคยักษ์ หรือโรค gigantism โรคที่เกิดจากการหลั่งฮอร์โมนโกร๊ท (growth hormone) ที่ผิดปกติจากต่อมใต้สมอง (pituitary gland) และคนที่ทำการศึกษาก็คือ คุณหมอ ฮาร์วีย์ คูชชิ่ง ผู้ตั้งชื่อ Cushing's disease และเป็นคนเขียนอัตชีวประวัติของ วิลเลียม ออสเลอร์ ครูแพทย์ผู้ยิ่งใหญ่ให้ชาวโลกได้รู้จัก
และการสกัดดีเอ็นเอจากฟันในโครงกระดูกของ Bryne ทำให้พบ AIP gene mutation ที่เป็นสาเหตุสำคัญของโรคนี้ด้วย และทำให้เราพบคำอธิบายของยักษ์ไอริชอีกมากมาย ทั้งจากโครงกระดูกยุคโบราณมาถึงยุคปัจจุบัน เพราะความถี่ของยีน AIP ที่กลายพันธุ์นี่เอง
the Irish Giant แม้จะถูกรบกวนชีวิตและร่างกายหลังความตาย แต่ว่าตำนานของเขาก็เป็นต้นกำเนิดความรู้ทางการแพทย์อีกหลายประการเลย
ในเรื่องราวที่สอง เรื่องราวของการขโมยศพ ปกสมุดหนังมนุษย์ และ หน้ากากแห่งความตาย !! โปรดติดตามตอนต่อไป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น