23 กุมภาพันธ์ 2561

blood letting

การนำเลือดออกจากร่างกายในยุคสมัยหนึ่งเราถือว่าเป็นการรักษา .. blood letting

ยุคนี้ปัจจุบันนี้เราคงคุ้นเคยกับการบริจาคเลือดที่ถือเป็นการทำบุญแก่เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน แต่ในยุคอดีตตั้งแต่อิยิปต์ มาถึงยุคกรีก ยุคของฮิปโปเครตีส และยุคกลาง เราเชื่อว่าเมื่อร่างกายเกิดการไม่สบายมักจะเกิดจากของเหลวในร่างกายที่ไม่สมดุล ของเหลวสี่อย่างนั้นคือ black bile ตะกอนเลือด, yellow bile พลาสมาคือน้ำเลือด, blood เม็ดเลือด เลือดแดง, phlegm เม็ดเลือดขาว หนองจากเม็ดเลือดขาว

  การทำให้ร่างกายสมดุลอันหนึ่งที่นิยมใช้คือ การถ่ายเลือด ไม่ว่าจะป่วยไข้อะไรก็ตามที่มองไม่เห็นสาเหตุจากภายนอก เช่น ไม่ใช่ฝีหนอง ไม่ใช่อุบัติเหตุ ก็จะรักษาโดยการถ่ายเลือด ไม่ได้ถ่ายเทจากใครสู่ใคร แต่คือปล่อยให้เลือดไหลออกไปเลย โดยอุปกรณ์ที่ดูแล้วออกจะซาโดมาโคซิสต์ยิ่งนัก เช่น เหล็กปลายแหลมที่ใช้เจาะผ่านหลอดเลือด เหล็กม้วนที่มีหนามแหลมคอยกรีดผิวหนัง มากรีดหรือทิ่มแทงที่แขนขา ปล่อยให้เลือดไหลออกไปเรื่อยๆ เรียกว่าเป็นการรักษา first line treatment เลยทีเดียว
   สมัยนั้นทุกคนก็ทราบดีแล้วในสมัยนั้นว่าการนำออกมากก็เสียสมดุล คือ เสียชีวิตเช่นกัน ผมค้นไม่พบวิธีการทำนะครับ เพราะสงสัยเหลือเกินว่าเขาทำอย่างไรให้เลือดไหลตลอดโดยไม่มีเลือดแข็งตัว เท่าที่ดูจากภาพวาดที่ปรากฏในยุคกลาง จะเห็นรอยกรีดและรอยทิ่มแทงหลายที่หลายจุด คาดว่าก็คงทำแล้วเลือดหยุดเลือดแข็งนั่นเอง จึงต้องทำหลายๆที่ ให้ได้ปริมาณเลือดที่ต้องการ

   ปริมาณเลือดที่ต้องการเป็นเท่าไร โรคนั้นเท่าไร โรคนี้เท่าไร ไม่มีใครรู้ และไม่น่ามี randomized controlled trial อย่างแน่นอน เป็นการสอนในหมู่คนไม่กี่กลุ่ม ถ่ายทอดกันมา เช่นนักบวชในสมัยโบราณ สำนักชีต่างๆในยุโรป ในยุคนั้นเป็นยุคของคริสตจักรนะครับ อำนาจของพระสันตปะปา มีอำนาจมากมายเหนือราชวงศ์ต่างๆในยุโรป

  หนึ่งในบุคคลในประวัติศาสตร์ที่ได้รับการบันทึกว่ารักษาโดย blood letting แล้วหายคือ พระนางมารีอังตัวเนตต์ ราชินีของกษัตริย์หลุยส์ที่ 16

   หลักฐานที่ยังมีการกล่าวถึงที่ชัดเจนคือการรักษาโรคหัวใจวายน้ำคั่ง น้ำท่วมปอดนั่นแหละครับ ยุคนี้เราใช้ยาขับปัสสาวะขับสารน้ำออกจากหลอดเลือดผ่านออกมาทางปัสสาวะ แต่ในยุคนั้นแทงหลอดเลือดให้ไหลออกมาเลย มันก็เป็นการลดปริมาณเลือดที่เข้าสู่หัวใจได้ทางหนึ่ง ทำให้หัวใจไม่ทำงานหนักเกินไป หากแต่เสียเลือดมากไปมันก็ช็อกตายอีกเช่นกัน   ไม่แปลกใจที่มีการชื่นชมการรักษาแบบนี้และมีการบันทึกว่าเป็นวิธีแห่งคนบาปก็มี จนทางศาสนจักรไม่แนะนำใช้วิธีนี้อย่างเป็นทางการอีก
   อีกโรคที่ยังได้รับการยอมรับเป็นการรักษามาตรฐานในยุคปัจจุบันคือ โรคเม็ดเลือดเจริญเติบโตผิดปกติ ในกลุ่มเม็ดเลือดแดงที่เรียกว่า Polycythemia Vera การรักษาคือต้องลดปริมาณเม็ดเลือดแดงลง ปัจจุบันก็ยังใช้การนำเลือดออก คือทำให้ซีดจางลง ความเข้มข้นเลือด 60%-70% ก็จะลดลงเหลือ 45% เป็นต้น  ..ปัจจุบันก็ยังใช้วิธีนี้อยู่นะ

  แต่ว่าการรักษาแบบนี้ก็ทำให้เกิดการเสียชีวิตได้เช่นกัน เพราะว่ามันเป็นการรักษาที่ไม่ใช้แล้ว เรื่องราวของผลเสียที่จะมาบอกกันก็เลยเป็นเรื่องเล่าอิงความจริงกับบุคคลสองคนในหน้าประวัติศาสตร์ที่ได้รับการรักษาแบบนี้แล้ว  เสียชีวิต

  คนแรกนี้มีการบันทึกไว้อย่างชัดเจน เพราะเป็นคนดัง ท่านประธานาธิบดีคนแรกสุดของสหรัฐอเมริกา จอร์จ วอชิงตันนั่นเอง บันทึกเขียนไว้ว่า ท่านไปราชการโดยขี่ม้าและตากฝน ในอีกสองสามวันต่อมาท่านเริ่มมีไข้ เจ็บคอ เสียงแหบ กลืนอาหารแล้วเจ็บ ผู้สันทัดกรณีหลายท่านในอเมริกาคิดว่าท่านป่วยเป็นการอักเสบติดเชื้อฉับพลันของคอหอย หรือ ฝีหนองด้านในของลำคอ เอาล่ะ ข้อเท็จจริงไม่มีใครรู้
   แต่ที่บันทึกคือ แพทย์ที่ดูแลนั้นใข้วิธี Blood Letting นำเลือดออกจากตัวท่านประมาณ  1000 ซีซี (20%)  มีการใช้ยาถ่ายอีกด้วย แพทย์ทุ่มเทการถ่ายเลือดตลอดทั้งคืน
  แน่นอนวันรุ่งขึ้นก็เสียชีวิตครับ กินไม่ได้ ไข้ขึ้น ใกล้ช็อก เอาเลือดออกแถมให้ยาถ่ายอีก แต่ว่าแพทย์คณะนั้นก็ไม่ได้ต้องอาญาคดีลอบสังหารแต่อย่างใด แต่กลับเป็นการมาทบทวนว่าการรักษาแบบนี้ใช้ได้ผลหรือไม่ ขนาดท่านประธานาธิบดียังไม่รอด แล้วจะไปใช้กับชาวประชาได้อย่างไร

  คนที่สอง อันนี้เป็นคำบอกเล่าเสียมากกว่า แต่บังเอิญบอกเล่าตรงกันและมีหลักฐาน คือ ท่านโรบินแห่งล็อกซลีย์ หรือ โรบินฮู้ด ชายผู้ปล้นคนร่ำรวยมาช่วยคนจนนั่นเอง (เหมือนทีมฟุตบอลบางทีม ที่มักเอาชนะทีมหัวตาราง เอาแต้มมาแจกทีมท้ายตาราง) ในช่วงท้าย โรบินฮู้ดป่วยหนัก เขาตัดสินใจเดินทางไปรักษาที่สำนักชีแห่งหนึ่งที่มีญาติของเขาอยู่ด้วย แต่ว่าบังเอิญญาติของเขาคนนี้มีเรื่องหมางใจกับโรบิน (เรื่องเงินเสียด้วย) ในการรักษาเธอใช้วิธี blood letting นี่แหละ แต่ปล่อยไว้จนโรบินเกือบตาย
  โรบินรวบรวมแรงเฮือกสุดท้าย เป่าแตรช่วยเหลือ ซึ่งตอนนั้นมีแต่สหายลิตเติ้ลจอห์น เขาก็รุดเข้ามาช่วยแต่ไม่ทัน ถึงกระนั้นโรบินก็บอกว่า

   "ละ.. ละ.. ลิตเติ้ลจอห์น สหายข้า ขอเจ้าจงอภัยแก่เหล่าญาติข้า ที่กระทำการเช่นนี้ เพียงเพราะเขาสำคัญผิดในตัวข้า เจ้าจงหยิบธนูมาให้ข้า และหากศรนี้ พุ่งไปตกที่ใด เจ้าจงฝังร่างของข้าเอาไว้ ณ ที่นั้น "

  ครับ..เป็นที่มาแห่งการพบหินสลักหลุมศพ ที่ปรากฏอยู่จริง ไม่ห่างจาก Kirklees Priory โรงนาเก่าที่เคยเป็นสำนักชีแห่งหนึ่งในยุคกลาง เชื่อว่าเป็นสถานที่จริงที่โรบินฮู้ดเสียชีวิต ปัจจุบันทั้งสองที่คืออาคารหลังนั้นและหลุมศพยังปรากฏเป็นสถานที่ท่องเที่ยวของเมืองยอร์คเชียร์ ประเทศอังกฤษ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น