07 ธันวาคม 2560

อาวุธชีวภาพ

บรรดาอาวุธเชื้อโรคและอาวุธชีวภาพทั้งหลายนั้น มีการจำกัดความและจัดหมวดหมู่เอาไว้ เพื่อให้ง่ายต่อการจัดการและเรียนรู้ ในประเทศสหรัฐอเมริกาและยุโรป ซึ่งเป็นประเทศที่เป็นเป้าการโจมตีได้มีการสอนเรื่องนี้มาตลอด ในตำรามาตรฐานอายุรศาสตร์ก็มีเรื่องนี้ด้วย หลายโรคทางอายุรศาสตร์ก็มีโอกาสเป็นการก่อการร้ายอาวุธชีวภาพได้ ถ้าสงสัยพบผู้ป่วยพร้อมๆกันปริมาณมาก หรือ เกิดพร้อมๆกันแต่กระจัดกระจาย ดังตัวอย่างการนำแอนแทรกซ์ใส่ซองจดหมายนั่นเอง
เชื้อโรคที่เข้าข่ายเป็นอาวุธได้ต้องเหี้ยมพอตัว ติดต่อง่ายแพร่กระจายเร็ว แพร่ทางละอองฝอยทางอากาศได้ดี อยู่ทนทานนานปีในสิ่งแวดล้อม ส่งต่อการแพร่กระจายจากคนสู่คนได้ อัตราการเสียชีวิตและพิการสูง อาการแยกยากจากโรคอื่นกว่าจะรู้ตัวก็เสียทีเขาเสียแล้ว (อร๊ายยย) ไม่มีวัคซีนมาตรฐานป้องกัน โรครุนแรงพอที่จะทำให้เกิดความตื่นตระหนกและสะเทือนความมั่นคงของชาติได้ ต้องมีทีมรับมือโดยเฉพาะ..เหี้ยมไม๊ล่ะ
Center of Disease Control ที่อเมริกา ได้จัดแบ่งกลุ่มอันตรายร้ายแรงตามลำดับ A B C กลุ่ม C คือเบาๆ โรคระบาด โรคระบาดใหม่ กลุ่ม B ก็โรคระบาดประจำถิ่น ติดง่ายแต่ตายน้อย ไม่ค่อยน่าตกใจ โอกาสจะเป็นอาวุธไม่มาก ส่วนที่จะมาสนใจคือ กลุ่ม A ...deadly weapon
การพัฒนาเชื้อโรคมาเป็นอาวุธเริ่มมาให้เห็นตั้งแต่ black death ในยุคกลางที่เชื่อว่าเกิดจากการยิงศพข้ามกำแพงของเหล่ามองโกลในการส่งเชื้อกาฬโรคเข้าสู่เอเชียไมเนอร์ และลุกลามสู่ยุโรป แต่อันนั้นยังไม่เท่าไร มันก็เหมือนการระบาดและตายตามปกติแค่จัดเก็บตามระบบสุขาภิบาลที่ไม่ดีเท่านั้น อ่านรายละเอียดได้ที่นี่ ทำลิงก์มาให้แล้ว
ส่วนที่ว่าเป็นอาวุธคือ มนุษย์ควบคุมได้และเป้าหมายเพื่อสังหาร เริ่มชัดเจนในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่สอง โดยหน่วยทหารที่เชี่ยวชาญการใช้และพัฒนาอาวุธชีวภาพคือ หน่วย U731 แห่งกองทัพพระจักรพรรดิแห่งญี่ปุ่น ได้อ้างว่ามีการใช้อาวุธชีวภาพในช่วงสงครามโลก แต่ก็ไม่ได้มีหลักฐานชัดๆ ทางสัมพันธมิตร (ก็พัฒนาเหมือนกันแต่ไม่ออกข่าว) ก็บอกว่าระบาดธรรมชาติแหละ ที่ญี่ปุ่นอ้างเป็นการชวนเชื่อเสียมาก
อย่างไรก็ดี ในมหาสงครามโลกครั้งที่สอง อาวุธที่เป็นอันตรายมากกว่าคืออาวุธเคมี ในการสังหารหมู่เชลยศึกชาวยิวในค่ายนรก
อาวุธชีวภาพเริ่มมีการกล่าวถึงในทางลับและข่าวที่ไม่กรอง ข่าวชวนเชื่อที่พิสูจน์ยาก คือหลังสงครามโลกเข้าสู่ยุคสงครามเย็น ส่วนมากเชื้อโรคจะได้รับการศึกษา ดัดแปลงพันธุกรรมให้ร้ายกาจมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นดื้อยา คงทน ติดง่าย และพิษสูงใช้ปริมาณไม่มากแต่ประสิทธิภาพการสังหารสูงสุด สถานที่คือที่อเมริกาและอดีตสหภาพโซเวียตนั่นเอง ภายหลังจากที่สหภาพโซเวียตล่มสลาย ประเทศเล็กๆก็ไม่มีศักยภาพพอที่จะพัฒนาอาวุธได้ ...โดยที่อเมริกาปิดปากเงียบสนิท
ประเทศที่อยู่ในข่ายต้องสงสัยที่จะมีครอบครองคือ อิหร่าน อิรัก ซีเรีย และท้ายสุดคือ เกาหลีเหนือ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนว่ามีอยู่จริงหรือมีการใช้จริง
เรามาดูอาวุธในกลุ่ม A ทั้งหกชนิด ผมขอจัดลำดับตามข้อมูลทางชีววิทยาและการพยาธิกำเนิดที่คิดว่าอันตรายจากน้อยไปมากนะครับ
ไวรัสไข้เลือดออก ...อันนี้ทำมาเป็นหนังเลยคือ outbreak ซึ่งข่ายที่จะเป็นอาวุธได้คือ ไวรัสอีโบลา ไวรัสมาร์เบิร์ก ไวรัสพวกนี้อาการเร็วตั้งแต่ติดเชื้อจนอาการเต็มที่อาจจะแค่ 3-7 วันเท่านั้น เจ้าอีโบลาและมาร์เบิร์กมีหลักฐานการติดจากคนสู่คนบ้าง แต่ยังจัดว่าไม่อันตรายมากเพราะการแพร่เชื้อหลักต้องผ่านสัตว์พาหะนั่นเอง
ส่วนไวรัสไข้เลือดออกเดงกี่ของบ้านเราไม่ถือเป็นอาวุธนะครับ เพราะติดจากยุงสู่คนเท่านั้น ในปี 1992 มีรายงานว่าลัทธิโอมชินริเกียวส่งคนมาที่แอฟริกากลางเพื่อรับเชื้อเข้าตัวและวางแผนจะไปกระจายที่ญี่ปุ่น แต่ไม่มีรายงานการระบาดที่ญี่ปุ่น
แหม่..กำลังสนุกเลย เอาไว้ต่อตอนหน้านะ ไปหากาแฟดื่มก่อน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น