16 ตุลาคม 2560

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ภัยเงียบที่กำลังเพิ่มขึ้น

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ภัยเงียบที่กำลังเพิ่มขึ้น
ผมคงไม่สามารถถ่ายทอดทุกเรื่องราวของงานประชุมได้ บางเรื่องก็เชิงลึกสำหรับแพทย์ บางเรื่องก็ไม่สามารถแยกร่างเข้าพร้อมกันได้ อยากเป็นทศกัณฐ์จริงๆ จึงคัดเรื่องราวที่อยากส่งต่อให้ประชาชนได้รับทราบ และช่วยกันแก้ไข ป้องกัน
และไม่ได้มาเลคเชอร์ ผมไม่สามารถทำได้ดีเท่าผู้บรรยายแน่นอน แค่บอกเล่าฟังเพลินเท่านั้น
จากสถิติของกรมควบคุมโรค พบความจริงที่น่าตกใจอันหนึ่งคือ บรรดาโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ต่างๆที่เคยเงียบสงบไปเมื่อสัก 20 ปี (ไม่ได้หายไปนะครับ ยังเท่าๆเดิมอยู่) กลับมาเพิ่มสูงขึ้นในสองสามปีมานี้ ไม่ใช่โรคใหม่แต่ยังเป็นโรคเดิมๆ คือ หนองในแท้ หนองในเทียม ซิฟิลิส มันเกิดอะไรขึ้น ความเข้าใจตรงนี้ไม่ใช่แค่บุคลากรทางการแพทย์เท่านั้นที่ต้องเข้าใจ แต่รวมถึงเราๆท่านๆ ประชาชนทั่วไปด้วยครับ
1. กำแพงสำคัญคือ ความเข้าใจและการสื่อสาร คนไข้เองก็อายไม่อยากมาหาหมอส่วนมากก็สืบหาข้อมูลซื้อยากินเอง หรือเมื่อต้องถามเรื่องคู่นอนก็อาจจะอิหลักอิเหลื่อ ตอบบ้างไม่ตอบบ้าง พอหมอถามซ้ำก็อาจเกิดความไม่พอใจ ทำให้การวินิจฉัยทำได้ยากหรือแทบไม่ได้เลย
หรือแม้แต่หมอเอง ก็ไม่ได้ถามประวัติเพศสัมพันธ์มากพอที่จะช่วยการวินิจฉัยได้ เพราะโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์นั้นประวัติและการตรวจตรงนี้สำคัญมากๆ ความไว้เนื้อเชื่อใจ น่าเชื่อถือ สำคัญมาก
2. โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ปัจจุบัน มันไม่ได้อยู่ในรูปแบบพื้นฐานอีกต่อไป เพราะปัจจุบันบ้านเราเมืองเรา "เปิด" มากขึ้น ทั้งความสัมพันธ์เพศเดียวกันและต่างเพศ (LGBT) ช่องทางการมีเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าทางอวัยวะเพศ ทางทวารหนัก ทางปาก มือเท้า ล้วนแต่ทำให้รูปแบบของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เปลี่ยนไปจากที่เราเคยรู้มา
ยังไม่รวมถึง เทคโนโลยีสารสนเทศ ที่ทำให้การจัดหาคู่ การเข้าสู่การมีเพศสัมพันธ์ง่ายขึ้น ข้อมูลความเชื่อที่ผิดที่ส่งต่อกันต่างๆ ที่ทำให้โอกาสติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มากขึ้น
3. โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อันดับหนึ่งที่เรากลัวมาตลอดคือ การติดเชื้อไวรัสเอชไอวี เราทำหลายอย่างเพื่อลดโอกาสการติดเชื้อและรักษาเอชไอวี แต่ทว่าความเป็นจริงทุกอย่างของเอชไอวีก็ไม่ได้เป็นจริงกับโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์เสมอไป ตัวอย่างที่สำคัญและเป็นปัญหาคือ "oral sex" สำหรับเอชไอวีถือว่าเสี่ยงต่ำมาก แต่ว่าโรคติดเชื้ออื่นๆมันไม่ได้ลดต่ำด้วยนะครับ
ทำให้การมีเพศสัมพันธ์แบบนี้เป็นทางแพร่กระจายโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ เช่นหนองใน เริม เป็นต้น เพราะไม่สวมถุงยางหรือไม่ใช้ dental dams
4. กลุ่มอายุที่ติดเชื้อเริ่มน้อยลงๆ ดังนั้นหากใครเป็นผู้ปกครอง สอนลูกหลานของท่านให้รู้จักการป้องกันเถอะครับ ป้องกันทั้งโรคติดเชื้อ โรคเอดส์ การตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ การสอนไม่ยากเย็นอะไร สามารถใช้สื่อต่างๆ หรือยูทูปประกอบก็ได้
การไม่มีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควรเป็นสิ่งดี แต่เดี๋ยวนี้เด็กเขาไปไกลกว่าที่ท่านคิดมากมาย หรือแม้แต่กลุ่มอายุมากๆ ก็อย่าคิดว่าไม่มีนะครับ ทุกวันนี้เรามีเพศสัมพันธ์ ไม่ใช่เพียงการขยายเผ่าพันธุ์เท่านั้น แต่เป็นการตอบสนองความต้องการทางเพศที่ขับดันพฤติกรรมเราด้วย
5. กลุ่มคนที่อันตรายที่สุดคือ การติดเชื้อแบบไม่มีอาการเพราะเขาจะไม่รู้ตัวและแพร่กระจายเชื้อได้มาก การไม่มีอาการนั้นอาจหมายถึงสถาพโรคเองที่ระยะต้นๆจะไม่แสดงอาการเช่น เอชไอวี หรือแสดงอาการแต่ไม่เป็นที่รบกวนจึงไม่ทราบ เช่นแผลริมแข็งที่ไม่เจ็บบริเวณอวัยวะเพศของโรคซิฟิลิส เมื่อไม่มีอาการ ก็ไม่ตระหนักและประมาท ทำให้เกิดการแพร่กระจายได้มาก
ดังนั้นเมื่อไรที่มีเพศสัมพันธ์ โดยไม่ได้ป้องกัน นั่นคือ "มีความเสี่ยง" และถ้ามีแบบพหูพจน์คือหลายคน ยิ่งเสี่ยงมากขึ้น
6. ตัวอย่างการติดเชื้อแบบไม่มีอาการเช่น การติดเชื้อหนองในของสุภาพสตรี ส่วนมากอาการที่เรารู้ๆกันสำหรับบุรุษคือหนองไหลเป็นภูเขาไฟระเบิด แต่ผู้หญิงไม่ใช่อย่างนั้นเพราะผู้หญิงจะติดเชื้อที่มดลูก ไม่ใช่ช่องคลอดและอาการก็ไม่รุนแรง หรือการติดเชื้อหนองในที่ปากและลำคอที่จะซ่อนเร้นเป็นแหล่งก่อโรคต่อไปได้
ในต่างประเทศถ้าหากเป็นกลุ่มเสี่ยงจะทำการคัดกรองหมด แต่ในเมืองไทยก็ยังทำได้น้อยด้วยหลายสาเหตุ
7. อาการที่ไม่ตรงไปตรงมา ก็ทำให้แพทย์วินิจฉัยพลาดได้ ตัวอย่างก็หนองในอีกเช่นกันหากพบมีไข้คอเจ็บ อ้าปากตรวจที่หนองที่คอหอย .... ผมคิดว่าคงไม่มีหมอท่านใดที่จะไปคิดถึงหนองใน หากไม่ได้นั่งตรวจที่คลินิกกามโรค หรือคนไข้สงสัยว่าหนองอาจจะเกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ทางปาก ยากมากนะครับหากไม่สงสัยก็จะไม่ถามและรักษาไม่ตรงจุดด้วย
ดังนั้นหากพบการติดเชื้อแปลกๆที่ผิดจากที่พบทั่วไป รัักษาไม่หาย อาจต้องคิดถึงเชื้ออื่นๆที่อื่นๆ แต่มาด้วยทางแปลกๆด้วยนะครับ
8. ปัญหาที่สำคัญไม่แพ้การวินิจฉัยคือ เรื่องของการรักษา เพราะปัจจุบันเชื้อโรคที่ก่อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ดื้อยาไปเกือบหมดแล้ว ทางองค์การอนามัยโลกและศูนย์ควบคุมโรคอเมริกา ได้ประกาศโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นเชื้อดื้อยาที่เป็นปัญหา เราลืมไปว่านี่ก็เป็นปัญหา เวลาคิดถึงเชื้อดื้อยาก็ไปคิดถึงแต่เชื้อดุๆในโรงพยาบาล ลืมนึกถึงเชื้อบ้านๆที่ก่อปัญหาโดยเราไม่รู้
สาเหตุหลักคือการใช้ยาต้านจุลชีพไม่สมเหตุผล ซื้อกินเอง ฟังเขามา หรือแม้แต่แพทย์เองจ่ายยาผิดตัว ผิดขนาด ไม่ได้เพาะเชื้อหรือนัดมาติดตามว่า "หาย" จริงไหม อย่าลืมถ้าเขาไม่หายแล้วไปแพร่เชื้อต่อ ก็อาจแพร่เชื้อดื้อยาด้วย
9. อย่าลืมว่าโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ส่วนมาก เกือบทั้งหมดเกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ จริงอยู่ว่าบางโรคอาจเกิดจากการสัมผัสได้แต่ก็โอกาสน้อยมาก ดังนั้นโรคมันจะแพร่กระจายเป็นเลขคู่ คือต้องพาคู่ติดเชื้อมารักษาด้วย ไม่อย่างนั้นก็ติดกันไปติดกันมา ไม่หายสักที
คู่ติดเชื้อมักจะไม่มา มาก็ไม่ตรวจหรือไม่ยอมกินยา ก็เป็นปัจจัยที่ไม่หาย แค่คู่สองยังพอควบคุมได้ แต่ถ้าเป็นคู่สามคู่สี่ หรือบางทีเป็นตอง ก็ต้องตรวจรักษาให้หมดเช่นกัน
10. ข้อสุดท้ายอยากฝากบอกทีมผู้รักษาและคนไข้ สำหรับทีมผู้รักษาการซักถามประวัติทางเพศสัมพันธ์เป็นสิ่งพึงถามหากสงสัย อย่าคิดว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแต่ก็ต้องอาศัยวาทศิลป์ ความเป็นส่วนตัว การรักษาความลับและความไว้เนื้อเชื่อใจ ส่วนสำหรับคนไข้ การมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ได้ป้องกันสามารถติดโรคได้อีกมากมาย และประวัติตรงนี้จะช่วยการวินิจฉัยได้ดีครับ อย่าเพิ่งรำคาญและโกรธถ้าคุณหมอเขาจะถาม "ลึก" สักหน่อย
มาประชุมครั้งนี้ อ่านหัวข้อและทบทวนเรื่องโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มาก่อน เพราะตั้งใจจะมาบอกเล่าเรื่องนี้ ปล่อยบทนำเรื่องออรัลเซ็กซ์ไป ก็พบว่ามีคนสนใจมาก ต้องขอขอบพระคุณต้นเรื่องผู้บรรยาย อ.โอภาส พุทธเจริญ และ อ.รสพร กิตติเยาวมาลย์ ในงานประชุมใหญ่สมาคมโรคติดเชื้อประจำปี 2560 ครับ
มีอีกสักสองเรื่องเกี่ยวกับโรคติดเชื้อที่อยากทำความเข้าใจกับประชาชนทั่วไป ขอคิด ขอย่อยก่อนนะครับ ลิเวอร์พูลเสมอ สมองไม่ค่อยแล่น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น