29 เมษายน 2568

มะเร็งต่อมลูกหมาก บทความทบทวนจาก JAMA สรุปมาให้พวกเราสั้น ๆ

 มะเร็งต่อมลูกหมาก บทความทบทวนจาก JAMA สรุปมาให้พวกเราสั้น ๆ

1.เป็นมะเร็งที่โตช้า จึงมักเกิดอาการเมื่อก้อนโต อาการนั้นคือปัสสาวะผิดปกติไปจากเดิม หรือถ้าลุกลามไปอวัยวะอื่นโดยเฉพาะกระดูกที่เขาชอบไปเหลือเกิน จะปวดกระดูกหรือกระดูกหักง่ายกว่าคนทั่วไป อายุเฉลี่ยที่ได้รับการวินิจฉัยคือ 67 ปี
2.มะเร็งนี้มีการถ่ายทอดทางพันธุกรรม ถ้ามีพ่อพี่น้องผู้ชายเป็นโรค ก็ต้องระมัดระวัง ควรตรวจคัดกรองอย่างยิ่ง ตัวยีนที่ถ่ายทอดสามารถตรวจได้จาก germline panel หากพบการกลายพันธุ์ที่บ่งชี้มะเร็ง จะต้องเพิ่มการตรวจที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น รุกล้ำมากขึ้นและถี่ขึ้น ปัจจุบันมีการใช้ polygenic gene score มาช่วยคัดเลือกผู้ที่ควรจะคัดกรอง แต่เรา ๆ ที่อาจเข้าไม่ถึงการตรวจก็อาศัยประวัติคนในเครือญาติก็ได้
3.ยังไม่มีการคัดกรองที่ง่าย ราคาถูกและไว ตามหลักฐานปัจจุบันการใช้ค่าเลือด PSA ก็พอที่จะใช้คัดกรองได้ (4-10 ng/L)และต้องใช้ PSA ที่ปรับค่ามาตรฐานตามอายุ เพราะอายุมาก PSA ก็เพิ่มตาม
และการที่มีค่า PSA สูง “ไม่ได้” เป็นมะเร็งลูกหมาก แต่หมายถึงต้องเข้าสู่กระบวนการตรวจที่เฉพาะเจาะจงขึ้น
4.เมื่อเจอว่า PSA สูงอย่าง"ต่อเนื่อง" ต้องเข้ารับการปรึกษา ว่าสูงจริงจากโรคและความเสี่ยงการเกิดมะเร็งสูงไหม ถ้าความเสี่ยงสูง ให้ตรวจเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นการทำ MRI หรือ การส่องกล้องไปตัดชิ้นเนื้อแบบสุ่ม หรือทำ MRI พร้อมเล็งเป้าจุดที่สงสัยช่วยตัดชิ้นเนื้อ จากรีวิวนี้เขาบอกว่าจะใช้ MRI ช่วยเล็งเป้าหรือไม่ อัตราการเสียชีวิตไม่ค่อยต่างกัน ดังนั้นหากไม่มี MRI ก็อย่าตกใจไป
5.หลังจากได้ค่า PSA ทำการตรวจด้วยนิ้ว การทำ MRI หรือการตัดชิ้นเนื้อไปประเมินระดับคะแนน Gleason เอาข้อมูลทั้งหมดเพื่อมาประเมินระดับความเสี่ยง เพื่อวางแผนการตรวจต่อไป ใช่หรือไม่ใช่มะเร็ง ถึงเป็นมะเร็งแต่หากความเสี่ยงต่ำอาจเฝ้าติดตามได้
หรือต้องรักษาแบบผ่าตัดฉายแสง หรือให้ยากดฮอร์โมนเพศชาย อันนี้ต้องคุยกับคุณหมอเป็นรายบุคคลไปครับ
6.การรักษามีหลายแบบ อาจใช้ร่วมกันได้นะครับ และการรักษาหลายอย่างก็ไม่ได้รุกล้ำน่ากลัว ยิ่งกับโรคมะเร็งระยะต้นที่ไม่เสี่ยง ไม่รุนแรง โอกาสอยู่รอดใน 5 ปีสูงแตะ 100% หรือแม้แต่ในโรคระยะลุกลามที่ให้การรักษาที่ครบถ้วน มีโอกาสอยู่รอดในห้าปีประมาณ 80% ดังนั้นมะเร็งต่อมลูกหมาก แนะนำให้รักษานะครับ
7.การใช้ยาลดฮอร์โมนเพศชาย เป็นหนึ่งในการรักษาที่ประสิทธิภาพสูง ไม่ว่าจะเป็นการใช้ยา GnRH ทั้งแบบกระตุ้นและยับยั้ง เพื่อลดระดับฮอร์โมนเพศชายลง หรือจะใช้วิธีดั้งเดิมได้ คือ การผ่าตัดอัณฑะออก สามารถชะลอโรคได้ดี แต่อาจมีปัญหาการใช้ชีวิตบ้างเช่น หงุดหงิดแบบวัยทอง กระดูกหักกระดูกพรุน อวัยวะเพศไม่แข็งตัว
ปัจจุบันมียาใหม่ ๆ หากการใช้ยามาตรฐานเดิมไม่ได้ผลคือ androgen receptive pathway inhibitor หรือ androgen biosynthesis inhibitor
8.การตัดลูกหมากออก หรือ การใช้รังสีรักษา หรือทำทั้งสองอย่าง ก็มักจะทำในผู้ป่วยที่มีอาการปัสสาวะผิดปกติ มีความเสี่ยงการเกิดโรคลุกลามในระดับเสี่ยงปานกลางหรือเสี่ยงสูง และยังมีช่วงชีวิตยืนยาว กลุ่มที่ติดเตียงป่วยหนัก เบาหวาน อัมพาต ไตวาย อาจไม่พิจารณาทำนะครับ แน่นอน การผ่าตัดย่อมมีความเสี่ยงและผลตามมาเช่นกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ การใช้รังสีรักษาย่อมมีผล ไม่ว่าจะฉายแสงหรือฝังแร่ การตัดสินใจรักษาต้องคุยเป็นรายกรณีไป แต่ว่าโดยรวม ประโยชน์จากการรักษายังสูงกว่าโทษครับ
9.ในกรณีโรคลุกลามมากหรือแพร่กระจาย พบได้ทั้งเจอครั้งแรกก็แพร่แล้ว หรือรักษาในระยะต้นแล้วลุกลาม ในระยะนี้การลดฮอร์โมนเพศชายและติดตามค่า PSA ยังได้ประโยชน์นะครับ หากการรักษาลดฮอร์โมนด้วยยาดั้งเดิมไม่ได้ผล ใช้ยาใหม่ตามที่เขียนในข้อ 7
หรือเพิ่มยาเคมีบำบัด taxanes ก็ยังมีประโยชน์ หลักฐานจากการศึกษา ระยะเวลาการอยู่รอดเพิ่มเฉลี่ย 3-5 ปีเลยนะครับ
10.สรุปว่า มะเร็งลูกหมากพบได้บ่อยในชายสูงวัย และถ่ายทอดทางพันธุกรรม อาการจะเกิดเมื่อโรคระยะพอสมควร การคัดกรองมีหลายวิธี และการรักษายังคุ้มค่ามากและควรรักษาอย่างยิ่งหากตรวจพบในระยะต้น ถึงแม้ระยะลุกลามก็ยังมีทางเลือกการรักษาที่ดีกว่ามะเร็งอีกหลายชนิดครับ
11.ในกรณีที่ไม่ได้ติดตามข่าวสาร ผมขอแจ้งให้ทราบว่า ลิเวอร์พูลได้แชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้นะครับ ทิ้งห่างทีมอันดับ 14 ถึง 43 คะแนนทั้งที่ยังไม่จบฤดูกาลครับ
JAMA. 2025;333(16):1433-1446

28 เมษายน 2568

หักยา บดยา ... แนะนำว่าปรึกษาเภสัชก่อนนะครับ

 หักยา บดยา ... แนะนำว่าปรึกษาเภสัชก่อนนะครับ

ยาหลายชนิดมีการใช้แบบหักครึ่ง ไม่ว่าจะปรับขนาดลดลงหรือลดค่าใช้จ่ายยา ทั้งคุณหมอและคนไข้ ควรปรึกษาเภสัชนะครับ ว่าหักได้ไหม ยาบางชนิดหักแล้ว สมบัติเปลี่ยน ยาหลายชนิดหักยาก หักแล้วไม่ได้ขนาดการรักษา
ผู้ป่วยหลายคนกินยาเม็ดไม่ได้ กลืนลำบาก ทางเลือกการบดยาละลายน้ำให้กิน ควรปรึกษาเภสัชกรเช่นกัน ยานี้บดได้ไหม และจะผสมนั่นนี่ ทำให้สมบัติทางยาเปลี่ยนหรือไม่
บางทีหมอก็ไม่รู้ บางทีคนไข้หรือญาติก็ไม่รู้
อาจต้องเปลี่ยนชนิดหรือรูปแบบยา และนำมาประเมินว่าจะกินแบบไหน เวลาใด จะได้ประสิทธิภาพของยาสูงสุดที่เราต้องการและไม่เกิดโทษ
ระวังประเด็นนี้ด้วยนะครับ ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็น กินยาตรงตามที่สั่ง กินสม่ำเสมอ แต่ทำไมไม่ได้ผลตามที่ต้องการครับ

27 เมษายน 2568

 ใครที่ดูแลผู้ป่วยวิกฤต ไอซียู และอยากจะอัพสกิล แนะนำนี่เลย : point of care ultrasound in critical care

ทำไมทักษะการทำอัลตร้าซาวนด์ในไอซียูจึงสำคัญ
เพราะสรีรวิทยาของผู้ป่วยวิกฤต ไม่เหมือนคนปกติ และไม่เหมือนผู้ป่วยทั่วไปที่คงที่ การเปลี่ยนแปลงในระดับสุดขั้วและรวดเร็ว ทำให้การตรวจ สิ่งที่พบ ไม่ตรงไปตรงมา การใช้อาการแสดงทางคลินิกจะมีข้อจำกัด
เช่น ผู้ป่วยที่มีภาวะหอบมากจากหายใจล้มเหลว จะทำให้การประเมินสารน้ำผ่านการตรวจร่างกาย ดูหลอดเลือด จับชีพจร ฟังปอด ทำได้ยาก การมีเครื่องมือมาช่วย จะเพิ่มความเร็วและความแม่นยำ เพราะในไอซียู เราต้องทำงานแข่งกับเวลา
อีกข้อคือ การใช้เครื่องอัลตร้าซาวนด์ในปัจจุบันสะดวกมาก ไม่รุกล้ำ ไม่บาดเจ็บ มีทุกที่ เทคโนโลยีและโปรแกรมในเครื่องก็ทันสมัยและแม่นยำขึ้นมาก ผมเคยลองวัด LVEF ด้วย modified simpsom technique เครื่องสามารถลากแนว ventricular chamber ได้แม่นยำดี
แต่ว่า สิ่งต่าง ๆ นี้ต้องอาศัยการฝึกฝน การกระดกมือ วางมือ ลากมือ ใช้คลื่นความถี่ ใช้หัวตรวจแบบต่าง ๆ
เป็นทักษะพึงมีในแพทย์ทุกท่าน ไม่ใช่เพียงรังสีแพทย์เท่านั้น ช่วยประเมินและตัดสินใจได้ดี
ระบบหัวใจ หลอดเลือดดำ หลอดเลือดแดง หลอดเลือดสมอง ปอด ตับม้ามน้ำดี ช่วยทำหัตถการ ถ้ามีทักษะรับรองว่า ช่วยคนไข้ได้และเพิ่มคุณค่าตัวเองครับ
หนังสือเล่มนี้แม้เป็นหนังสือแปล แต่เขียนด้วยภาษาไทยที่เข้าใจง่าย อธิบายตั้งแต่ จะเลือกใช้หัวตรวจใด ปรับเครื่อง วางมือ แนวเครื่อง แนวการลากหัวตรวจ การวัด การใช้ปุ่ม การกดโปรแกรม
ส่วนใหญ่เป็น 2D นะครับ แต่ครบถ้วนสำหรับ non radiologist โดยเฉพาะการใช้ทุกรูปแบบในไอซียู
มีภาพประกอบ สอนการวัดค่า มีคลิปวิดีโอแถม กระดาษพิมพ์สี่สี เปิดกางได้สุด เหมาะกับใช้ฝึกใช้งานจริงครับ
หนีงสือโดย Luke Flower และ Pradeep Madhivatharan แปลไทยโดย อ.คัมภีร์ สรวมศิริ คุณหมอนักเขียนเรื่องราวท่องเที่ยวที่เรารู้จักกันดี และ อ.ณัฐิกานต์ อรรถปรียางกูร ทั้งคู่เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ฉุกเฉิน สนพ.วะบิซะบิ เอ็ดดูเคชั่น ราคาปก 850 บาท
ผมซื้อจากศูนย์หนังสือจุฬาครับ ไม่รู้ที่อื่นมีไหมนะ ท่านที่สนใจลองสอบถามที่ศูนย์ได้ครับ

26 เมษายน 2568

AI จะมาแทนหมอได้หรือไม่ .. ประชุมวิชาการราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย 2568

 AI จะมาแทนหมอได้หรือไม่ .. ประชุมวิชาการราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย 2568

คำถามที่น่าสนใจมากครับ ในรายการนี้ ผู้ดำเนินรายการคือ อ.สมชาย ลีลากุศลวงศ์ ได้มีโจทย์ปัญหา ซึ่งเป็นสถานการณ์ผู้ป่วยจริง ป้อนข้อมูลใส่ ChatGPT เพื่อถามการรักษา การวินิจฉัย ดูว่าจะโอเคไหม โดยชนตัวต่อตัวกับ อาจารย์แพทย์ในตำนาน คือ อ.ชุษณา สวนกระต่าย และ อ.ไชยรัตน์ เพิ่มพิกุล ท่านประธานราชวิทยาลัยของเรา
ป้อนข้อมูลแล้วดู AI ตอบ กับให้ปรมาจารย์ของเราวิจารณ์และแย้ง เพื่อดูว่า AI จะมาแทนหมอได้หรือไม่
ใครสนใจไปกดดูบันทึกไลฟ์สดของเพจราชวิทยาลัยได้ แต่ผมดูและสรุปมาได้แบบนี้นะครับ
1.AI ยังวินิจฉัยโรคแบบ pattern recognition เก็บข้อมูลว่าโรคไหนมีอาการแบบไหน แล้วตรงกับโจทย์หรือไม่ เหมือนเยอะ ตรงมาก ก็น่าจะเป็นแบบนั้น
ในอนาคตถ้ามี pattern มากพอ และการจัดการข้อมูลที่ดี ก็อาจทำหน้าที่ได้ดีกว่าหมอ
2.แต่ AI ยังคิดข้อมูลแบบ discrete data คือใช่กับไม่ใช่ ข้อมูลทางคลินิกหลายประเภทมันเทา แยกยาก เช่น โรค a มักปวดหัวรุนแรงมากที่ท้ายทอยเด่น โรค b ก็ปวดหัวเช่นกัน แต่ไม่เด่นนัก แบบนี้ AI อาจจะแยกได้ไม่ดี และอาจจะไม่ถามเพิ่ม แต่หมอจะจี้ประเด็นนี้ จนแยกโรคได้
3.AI ยังขาดความเชื่อมโยงตามลำดับเวลา AI จะรวบรวม อาการ A และ B และ C รวมเป็นโรค แต่หมอจะคิดตามอย่างมีเหตุผลและจินตนาการว่า อ๋อ A เกิดก่อน C หมายถึงโรคแบบนี้ แล้วพอตามด้วยอาการ C มันจะสนับสนุนโรคนี้มากกว่านะ
4.AI เน้นข้อมูลทางสถิติและวิทยาศาสตร์มาก ยังขาดข้อมูลแห่งวิถีชีวิต อันนี้ชอบมาก อ.ชุษณาบอกว่า การที่มีอาชีพที่ไม่ใช่เกษตรกร ไม่สามารถตัดโรคฉี่หนูได้เลย เช่น ทำงานเทศบาล ขุดลอกท่อน้ำ ก็เป็นฉี่หนูได้นะ แถมนอกฤดูฝนก็ได้ แบบนี้ AI ยังสู้คนไม่ได้นะ มันคิดตรงเกินไป แต่ในอนาคตอาจจะทำได้
5.AI ต้องอาศัยข้อมูลถูกต้องที่ป้อนเข้าระบบ มันยังไม่มีความ ‘เอ๊ะ’ มากพอ ที่จะสรรหาข้อมูลที่ซ่อนไว้อยู่ หรือบริบทแวดล้อมได้
6.ตอนนี้ AI อาศัยข้อมูลจาก open source data เป็นหลัก แต่ข้อมูลทางการแพทย์ที่ทันสมัยและเป็นที่อ้างอิง ยังเป็นข้อมูลที่ต้องจ่ายเงิน (อันนี้ผมเหนือกว่า AI ฮ่า ๆๆ) แต่ในอนาคตอาจเข้าถึงได้ง่าย
สรุปว่า ควรใช้ AI ให้เป็น มาเป็นเพื่อนมาช่วยทำงาน มากกว่าจะไปแข่งขันต่อสู้ครับ
แนะนำว่าถ้าเอไออยากพัฒนา อัพเวล เพิ่มค่าสแตต แบบเร็ว ๆ ด่วน ๆ ก็ให้ดูด อ.ชุษณา กับ อ.ไชยรัตน์ ไปประกอบร่างโดยพลัน

25 เมษายน 2568

ยาเลิกบุหรี่ varenicline ก็สามารถมาใช้เลิกบุหรี่ไฟฟ้าได้นะครับ

 ยาเลิกบุหรี่ varenicline ก็สามารถมาใช้เลิกบุหรี่ไฟฟ้าได้นะครับ

ยาเลิกบุหรี่มาตรฐานที่นับว่าทรงประสิทธิภาพมากคือ varenicline ที่ออกฤทธิ์ทั้งกระตุ้น คือ หยุดยั้งอาการลงแดงบุหรี่ และยับยั้ง คือ ทำให้การเสพนิโคตินไม่สำราญเหมือนเคย อัตราความสำเร็จที่ 30-50%
แต่ทว่าผลการศึกษาส่วนมากทำในบุหรี่เผาไหม้ การศึกษาในบุหรี่ไฟฟ้ายังมีน้อย และส่วนมากเป็นการศึกษาทดลองที่ไม่ได้เป็น RCTs จึงยังพูดไม่ได้เต็มปากว่า ให้ใช้ยา varenicline ในการเลิกบุหรี่ไฟฟ้า
ปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าในเยาวชนกำลังพุ่งสูงในสหรัฐอเมริกา นักวิจัยจึงศึกษาทดลองแบบ RCT เพื่อศึกษาผล ของการใช้ยา varenicline มาใช้เลิกบุหรี่ไฟฟ้า เทียบกับยาหลอก และเทียบกับการไม่ใช้ยาใด ว่าจะสามารถทำให้เลิกได้จริงไหม น่าสนใจนะครับ เพราะตอนนี้บุหรี่ไฟฟ้าเต็มเมืองจริง ๆ
นักวิจัยทำการศึกษาในอเมริกาช่วงปี 2022-2023 นั่นคือบุหรี่ไฟฟ้าในการศึกษาส่วนมากเป็น POD เน้นกลุ่มอายุ 16-25 ปี ที่สูบบุหรี่ไฟฟ้ามาอย่างต่อเนื่อง ไม่ได้สูบบุหรี่เผาไหม้หรือเลิกใช้มานาน (มีผลการตรวจยืนยัน)
ไม่เคยได้รับยาเลิกบุหรี่ใดมาก่อนโดยที่กลุ่มตัวอย่างนี้ 🔴มีความสนใจและเจตนาที่จะเลิก🔴 ประเด็นนี้สำคัญนะครับ ยาเลิกบุหรี่ทุกชนิดทำการศึกษาในคนที่เต็มใจพร้อมใจเลิกทั้งสิ้น
จำนวนผู้เข้าร่วมศึกษาประมาณเกือบสามร้อยคน แบ่งเป็นสามกลุ่มประมาณ 88 คน
กลุ่มทดลองให้ยา varenicline ปรับขนาดตามปกติ
กลุ่มต่อมาให้ยาหลอกที่เหมือน varenicline เป๊ะ
กลุ่มควบคุมให้การอบรมและติดตามผลอย่างเข้มงวด เรียกกลุ่มนี้ว่ากลุ่มควบคุม เพราะตอนนี้วิธีการเลิกบุหรี่ไฟฟ้ามาตรฐานคือการคุยกันนี่แหละ
ศึกษาให้ยาเป็นเวลา 8 สัปดาห์ แล้ววัดผลต่อเนื่องไปอีก โดยผลการศึกษาหลักคือ การเลิกบุหรี่ไฟฟ้าที่สัปดาห์ที่ 12 ซึ่งมีการตรวจทางชีวเคมียืนยัน และมีผลการศึกษารองคือ ดูผลยาวไปที่หกเดือนเลย
**งานวิจัยนี้มีค่าตอบแทนให้กับผู้ที่อยู่จนครบการศึกษาด้วยนะครับ อาจเป็นสาเหตุที่อัตราการยุติการศึกษาของผู้ร่วมทดลอง อยู่ในระดับต่ำมาก แตกต่างจากการศึกษาอื่น ๆ ที่ drop out เยอะมากจริง**
ผลการศึกษาพบว่ากลุ่มที่ได้ varenicline เลิกบุหรี่ได้มากกว่ายาหลอกชัดเจน 51% เทียบกับ 14% ค่า odd ratio ต่างกันหกเท่าและมีนัยสำคัญ หรือไปมองที่หกเดือน แม้อัตราการเลิกบุหรี่ไฟฟ้าจะลดลงแต่ยังมากกว่ากลุ่มยาหลอกอย่างมีนัยสำคัญ
และถ้าไปเทียบกับการให้ความรู้อย่างเดียวก็แตกต่างอย่างนัยสำคัญอีก ส่วนการให้ความรู้และติดตาม สามารถเลิกได้มากกว่ากลุ่มยาหลอกเล็กน้อย แต่ไม่มีนัยสำคัญ (14% เทียบกับ6%)
ผลข้างเคียงและความปลอดภัยในทั้งสามกลุ่มพบเท่า ๆ กันในอัตราที่ต่ำมาก และยา varenicline สามารถลดอาการลงแดงบุหรี่ไฟฟ้าได้มากกว่ายาหลอกได้จริงตามทฤษฏีด้วยนะครับ
เราทราบอะไรบ้าง สรุปเลยนะ สำหรับคนที่ใช้บุหรี่ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวและต้องการเลิก การใช้ยาอดบุหรี่มาตรฐาน varenicline มาเพื่อช่วยเลิกบุหรี่ไฟฟ้า สามารถทำได้ดีไม่แพ้ในบุหรี่เผาไหม้เลย โดยใช้ขนาดและวิธีตามเดิมที่เราเคยใช้กัน
ทุกคนคงพอทราบว่าผมทำคลินิกเลิกบุหรี่ ผมใช้ทั้งยา vareniclineและ cystinicline และสารทดแทนนิโคติน เพื่อเลิกบุหรี่ไฟฟ้ามาสักพัก ก็ประสบความสำเร็จนะครับ ปัจจัยสำคัญคือ กายพร้อม ใจพร้อม ครอบครัวพร้อม และต้องสู้ไปด้วยกัน อย่ายอมแพ้
ใครอยากเลิกบุหรี่ไฟฟ้า ก็มีตัวช่วยแล้วนะครับ
Evins AE, Cather C, Reeder HT, et al. Varenicline for Youth Nicotine Vaping Cessation: A Randomized Clinical Trial. JAMA. Published online April 23, 2025. doi:10.1001/jama.2025.3810

24 เมษายน 2568

ผู้สูงวัยจะมีอันตรายจากอากาศร้อนมากกว่าปกติ

 ผู้สูงวัยจะมีอันตรายจากอากาศร้อนมากกว่าปกติ

หนึ่งสัปดาห์นี้จะมีสภาพอากาศร้อนถึงร้อนจัดนะครับ หนุ่ม ๆ สาว ๆ ยังเพลียแดด สำหรับผู้สูงวัยจะอันตรายกว่าเดิมอีกครับ
1.ร่างกายเราระบายความร้อนจากหลอดเลือดใต้ผิวหนัง และต่อมเหงื่อเป็นหลัก ผู้สูงวัยจะมีการควบคุมหลอดเลือดใต้ผิวหนังที่ไม่ดี และปริมาณต่อมเหงื่อลดลง ทำให้ผู้สูงวัยมีความร้อนสะสมมากกว่า เกิดอุณหภูมิกายสูงกว่าคนอายุน้อย สัมผัสความร้อน 40 องศาประมาณสองชั่วโมง คนอายุ 20 อุณหภูมิกายเพิ่มเพียง 0.5 องศา แต่อายุ 70 เพิ่มไป 1.3 องศาเลยนะครับ
2.อันตรายที่มากกว่าขึ้นไปอีก คือ เมื่อร้อน ร่างกายจะต้องระบายออกโดยขยายหลอดเลือด มันจะทำให้ความดันโลหิตลดลง ร่างกายจึงต้องเร่งการทำงานหัวใจโดยบีบเร็วบีบแรง ทำงานหนัก ในผู้สูงวัยอาจทนไม่ไหว หัวใจล้มเหลว หัวใจขาดเลือดได้
3.เมื่อร่างกายขาดน้ำ ร่างกายจะใช้กลไกแรงดันเลือดที่ระทำต่อหลอดเลือดแดงที่คอและที่ไต กระตุ้นความกระหายและดูดน้ำกลับจากท่อไตผ่านระบบฮอร์โมน renin angiotensin aldosterone แต่ในผู้สูงวัย ความไวและการตอบสนองของระบบนี้เสื่อม จึงไม่สามารถชดเชยน้ำได้ดี
4.ผู้สูงวัยจึงอันตรายต่อ heat stroke โดยเฉพาะผู้ที่ติดเตียง ผู้ที่ช่วยเหลือตัวเองยาก เพราะหาน้ำท่ามาดื่มไม่ได้ แม้จะปกติ ระบบร่างกายก็ไม่ได้ไวมาก กว่าจะรู้ตัวว่าขาดน้ำ ก็อ่อนแรงไปแล้ว
5.วิธีการป้องกัน คือ อย่าเชื่อกลไกของร่างกายนัก ว่าตัวเองยังไหว ให้ใช้จิตใจคุมร่างกาย บอกตัวเองให้รักษาความปลอดภัย หลบแดด ดื่มน้ำ ป้องกันรังสี อย่ารอให้ “ไม่ไหว” จึงทำ
6.ดื่มน้ำมากกว่าเดิม ดื่มไปเลยครับ จะฉี่บ่อยก็ช่างมัน ใช้วิธีการดื่มตลอด ปริมาณแต่ละครั้งไม่มาก ผมไปค้นดูพบว่าตัวเลขส่วนใหญ่ระบุดื่มน้ำมากกว่าปกติ 500-1000 ซีซี แต่ถ้าใครมีปัญหาการจำกัดน้ำดื่ม ต้องปรึกษาแพทย์นะครับ
7.ต้องเพิ่มความระวังในคนใช้ยาที่รบกวนระบบควบคุมน้ำ เช่น ยาขับปัสสาวะ, ยาเบาหวานชนิด SGLT2i, ยาลดความดัน ACEI หรือ ARB
8.งดอยู่กลางแจ้งแดดจัดเวลานาน ๆ ต่อเนื่อง ยิ่งถ้าเกิน 60 นาทีอุณหภูมิกายจะเริ่มสูงขึ้นแล้ว ต้องหลบแดด พักบ้าง กางร่ม สวมหมวก สวมเสื้อผ้าป้องกันแสงแดด (ต้องระบายอากาศดีด้วยนะ)
9.หนีร้อน ..คำแนะนำนานาชาติเขาแนะนำหลายวิธี เช่น อาบน้ำ, ไปอยู่ใน air-conditioned shelter ถ้าบ้านเราก็เปิดแอร์ หรือ เดินห้าง ลงอ่างไม่นับนะคุณพ่อบ้าน
10.พักมากขึ้น เมื่อต้องทำกิจกรรมต่อเนื่องนาน ๆ แม้จะไม่ได้อยู่กลางแจ้งหรือผึ่งแดดก็ตาม ร่วมกับสวมเสื้อผ้าที่ไม่อบ ระบายความร้อนดี ๆ
สุดท้ายคือ ไม่ต้องรอให้รู้สึกร้อน รู้สึกกระหาย รู้สึกเพลีย ค่อยป้องกัน เพราะผู้สูงวัยระบบการตอบสนองจะช้าลง กว่าจะรู้สึก เธอคงเดินจากฉันไปอยากขอร้องใคร ดึงมือ…อ่ะ ไม่ใช่ล่ะ กว่าจะรู้สึกก็แย่เสียแล้วครับ

22 เมษายน 2568

อาการวัยหงุดหงิดช่วงมีประจำเดือน : อาจรักษาง่ายกว่าที่คิด : อิทธิพลแห่งจิตใจ

 อาการวัยหงุดหงิดช่วงมีประจำเดือน : อาจรักษาง่ายกว่าที่คิด : อิทธิพลแห่งจิตใจ

หลายคนอาจจะงงว่ามาผิดเพจ ลุงหมอกินยาผิดหรือเปล่า ไม่ใช่นะครับ คือว่าผมสมัครเป็นสมาชิกวารสารการแพทย์หลายฉบับ และหลายกลุ่ม
หนึ่งในนั้นคือเรื่องการวิจัยและระบาดวิทยาคลินิก เพื่อแปลผลการศึกษาทางการแพทย์ต่าง ๆ นั่นแหละครับ มีการศึกษาอันหนึ่งแสดงให้เห็นอีกมุมของการรักษาครับ ถ้าใครอยากจบเร็วข้ามไปสรุปย่อหน้าสุดท้ายเลย
ปกติแล้วหากคุณผู้หญิงเริ่มเข้าสู่วงรอบประจำเดือน ก็จะมีอาการของฮอร์โมนแปรปรวน อารมณ์ไม่คงที่ หงุดหงิด ขวางหูขวางตา ซึ่งส่วนมากคนที่เกิดปัญหาคือสามีของเธอ !! หากไปหาหมอ คุณหมอจะช่วยโดยการให้ยาควบคุมอารมณ์กลุ่มยาต้านซึมเศร้ามากิน แล้วถ้าเรามองว่ามันคือเรื่องธรรมชาติ ไม่ต้องกินยาล่ะ มันจะดีขึ้นไหม
คณะนักวิจัยจากสวิสเซอร์แลนด์ทำการศึกษาลงใน BMJ evidence-based medicine ตีพิมพ์เมื่อ 25 มีนาคม 2568 โดยเขาทำการศึกษาแบบ RCTs ทำการสุ่มและแบ่งกลุ่มสุภาพสตรีที่มีปัญหานี้จำนวน 150 คน อายุประมาณ 26-28 ปี
แบ่งออกเป็นสามกลุ่ม กลุ่มละ 50 คน แล้ววัดผลคะแนนความหงุดหงิด (PMS symptom intensity and interference) หลังจากผ่านไปสามรอบประจำเดือน
กลุ่มแรก ให้ยาหลอก โดยบอกว่าเป็นยาหลอกด้วยนะ แต่อธิบายว่าจากการศึกษาเดิม ยาหลอกก็มีผลลดอาการได้
กลุ่มสอง ให้ยาหลอกเช่นกัน บอกด้วยว่ายาหลอก แต่ไม่ได้อธิบายอะไร
กลุ่มสาม อันนี้ให้การรักษาตามปกติ แนะนำการปฏิบัติตัว ใช้ยาตามแนวทางการรักษา
ปรากฏว่าทั้งสามวิธีสามารถลดอาการได้ดีตั้งแต่รอบประจำเดือนที่สอง โดยการรักษาที่ลดอาการได้ดีที่สุด คือ การใช้ยาหลอกร่วมกับอธิบายว่ายาหลอกก็มีผลดี แตกต่างจากทั้งสองวิธีอย่างมีนัยสำคัญ
ส่วนวิธีแจกยาหลอกโดยไม่อธิบายอะไรก็ยังลดอาการได้ดีกว่าการใช้การรักษาตามปกติอีกด้วย (แต่ต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญ) โดยที่ผลข้างเคียงจากการรักษาและการติดตามการใช้ยา ไม่ต่างกันในทั้งสามกลุ่ม นั่นคืออิทธิพลของการอธิบายและยาหลอกมีผลจริง
ไม่ได้หมายความว่าจะใช้ได้กับทุกโรคทุกอาการ บางโรคก็ใช้ไมได้นะครับ จะมาใช้ยาหลอกแบบนี้ถือว่าผิดเลย แต่ในโรคที่เราคิดว่าอาจจะไม่จำเป็นต้องรักษา หรือ ผลจากการรักษาให้ยามันไม่มากนัก โรคแบบนี้มันมีอิทธิพลของยาหลอกมาก แต่ไม่มีใครพิสูจน์แบบ บอกโต้ง ๆ แบบนี้สักเท่าไร การศึกษานี้มาเพื่อพิสูจน์แนวคิดนี้ครับ
หึหึ คุณผู้ชาย คุณสามีทั้งหลาย เวลาทองของคุณมาถึงแล้ว คราวนี้พอคุณผู้หญิงหงุดหงิดจากวันแดงเดือด เราก็ไม่ต้องแก้ไขโดย...กระเป๋าลองชอมป์ รองเท้าปราด้า นาฬิกาแอร์เมส หรือทริปฝรั่งเศสสุดหวิว ก็ให้ยาหลอกวันละสองเม็ด แล้วบอกว่า เดี๋ยวก็หายเองนะเธอ อย่าเยอะ !!!
อ่านฟรี
Frey Nascimento A, Gaab J, Degen B, et alEfficacy of open-label placebos for premenstrual syndrome: a randomised controlled trialBMJ Evidence-Based Medicine Published Online First: 25 March 2025. doi: 10.1136/bmjebm-2024-112875

20 เมษายน 2568

the walking backpack ลากคุณชายไปอินเดีย

 the walking backpack ลากคุณชายไปอินเดีย : เล่มที่สองในช่วงสงกรานต์นี้

คุณจิรพัฒน์ พัวพิพัฒน์ หรือคุณปั้น เป็นนักเดินทางคนเดียว ประเภทแบ็คแพ็กเกอร์ ลุยทุกที่ กินทุกอย่าง และคุณปั้นก็มาเขียนเล่าประสบการณ์มาให้เราได้อ่านครับ
คุณปั้นเป็นนักเรียนทุนสิงคโปร์ตั้งแต่มัธยมปลาย ไปเรียนที่นั่นจนจบและทำงานที่นั่น ระหว่างเรียนตามประสานักเรียนประเทศพัฒนาแล้ว เขาออกไปหาประสบการณ์ทั่วโลก
คุณปั้นเลือกแบ็คแพ็ก ขึ้นรถไฟ ตั๋วรถบัส ลงเรือ แชร์รถกับเพื่อนนานาชาติ นอนโฮสเทล ทำกับข้าวและคุยกับเพื่อน เพื่อนร่วมห้อง เพื่อนร่วมรถ
นั่นทำให้คุณปั้นได้เรียนรู้ชีวิต เรียนรู้ผู้คน และวัฒนธรรม จากทั่วทุกมุมโลก ในแง่มิตรภาพ รวมถึงการถูกโกง มิจฉาชีพ จากการแบ็คแพ็กทั่วโลก
และคุณปั้นนำมาบอกเล่าให้เราฟัง พร้อมภาพสวย ๆ เพราะคุณปั้นเขาเป็นช่างภาพด้วย โดยวิธีเล่าของคุณปั้นจะใช้ภาษาที่เราคุยกัน เหมือนเขาคุยกับตัวเองให้เราฟัง อ่านแล้วจึงสนุก เหมือนเราอยู่ในกระเป๋าคุณปั้นตามไปด้วย
แทรกด้วยเกร็ดความรู้แบบแบ็กแพ็กเท่านั้นจะรู้ โดยแบ็คแพ็กเกอร์ตัวจริง และคำบอกเล่าจากแบ็กแพ็กเกอร์ทั่วโลก น่าสนใจมากครับ
ผมเจอหนังสือคุณปั้นครั้งแรกคือ “ยุโรปไม่ได้เป็นเหมือนฝัน” หนึ่งในจักรวาล the walking backpack หลังจากนั้นก็ติดตามงานเขียนมาทุกเล่ม
เล่มนี้ยิ่งพิเศษ เพราะคุณปั้นมีคุณปั๊ม น้องชายสุดที่รักที่สไตล์การเที่ยวสบายกว่าคุณปั้นเยอะเลย แล้วพอมาแบ็กแพ็กจะเกิดอะไรขึ้น
นั่นไม่พอ เพราะประเทศที่จะไปแบ็กแพ็กเป็นประเทศที่นับว่า ยากที่สุดแห่งหนึ่ง คือ อินเดีย เพราะผู้คนล้นหลาม แน่นขนัด แออัด ไม่มีระเบียบ ต้องหาน้ำแบะอาหารสะอาด แบ็กแพ็กผู้เชี่ยวชาญยังยาก นี่ต้องพาคุณชายไปด้วยนี่สิ
แต่ก็ได้ประสบการณ์ล้ำค่า จากวัฒนธรรมที่ต่างกันสุดขั้ว ความเหลื่อมล้ำที่มองเห็นชัด อาหารที่หลากหลาย ภูมิประเทศที่ร้อนจัดในเดลี และไปถึงหนาวติดลบบนหิมาลัยที่เลห์ ลาดักห์
การหนีขายตรงแบบตื้อ การต่อรองราคาที่ถูกโก่งไปเกิน 100%
คุณปั้นเล่าได้สนุกมากกับเล่มนี้ครับ อ่านไปยิ้มไป หลับตาเห็นภาพความแออัดได้เลยครับ ใครอยากอ่านสารคดีท่องเที่ยวสนุกสนานแบบแบ็คแพ็กในอินเดีย ต้องเล่มนี้เลย
เรื่องและภาพโดยคุณปั้น จิรพัฒน์ พัวพิพัฒน์ มีภาพสี่สีสวย ๆ พร้อมซิกเนเจอร์คุณปั้น คือภาพถ่ายจากด้านหลัง ที่คุณปั่นสะพายกระเป๋าเท้าเอวมองฟ้า
หนังสือโดยสำนักพิมพ์ Geekbook ราคาปก 335 บาท แต่ผมคิดว่าคงหาซื้อมือหนึ่งได้ยากเต็มที เล่มนี้ผมก็ซื้อมือสองมาเช่นกันครับ หรือสามารถหาได้ตามแอปส้มครับ
สนุกมาก แนะนำ the walking backpack ทุกเล่มครับ

ชวนเธอกลับมาที่คาเฟ่ลูส

 “ชวนเธอกลับมาที่คาเฟ่ลูส” นิยายโคซี่ เต็มไปด้วยกลิ่นอายของขนมหวานทั่วโลก

ผมตามอ่านผลงานของฟูมิเอะ คนโดะ มาตลอด คุณคนโดะ มีความสามารถในการร้อยเรียงเรื่องราวขนมและอาหารนานาชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งขนมหวานแบบต่าง ๆ ให้มาเข้าเรื่องราวปริศนาเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้อย่างดี
เรื่องราวของคุณมาโดกะ เจ้าของคาเฟ่ลูส ที่เคยมาปรากฏกายจากหนังสือ “คาเฟ่ลูส เมนูที่รักจากการเดินทาง”
มาโดกะ เป็นนักเดินทางที่ชอบชิมอาหารทั่วโลก แล้วนำมาประยุกต์ทำในร้านตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นอาหารฝรั่งเศส รัสเซีย อิตาลี ที่ส่วนมากเป็นขนมน่าอร่อย เครื่องดื่มเลิศรส แล้วผู้แต่งก็บรรยายได้ อึ้มมม มาก
“ กัดชูครีมกินคำหนึ่ง ความคิดแรกคือ ไม่หวาน สัมผัสได้ถึงความหอมมันจากไขมันของนม ตามด้วยกลิ่นหอมของแป้งชู หลังจากนั้นจึงได้รสหวานของน้ำตาล”
และบรรดาลูกค้าในร้านก็มักจะมีเรื่องราวในชีวิต ที่มีปริศนาเล็ก ๆ ให้มาโดกะข่วยให้ชีวิตลูกค้าสบายขึ้น สมบูรณ์ขึ้น
คราวนี้คุณมาโดกะ ต้องได้รับผลกระทบจากโควิด ร้านต้องปิด มาขายออนไลน์ รวมทั้งเปิดฟู้ดทรัก
แต่ลูกค้าก็ยังถามหา ขนมรสเลิศของคุณมาโดกะ และเมื่อเปิดไลน์อาหารมากขึ้น เราก็จะได้เห็นการบรรยายอาหารแสนอร่อยจากชาติต่าง ๆ แบบต่าง ๆ รวมทั้งกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย ปัญหาชีวิตที่แสนเศร้าแต่จบแบบอบอุ่น ภายใต้การแก้ไขปัญหาแบบมิตรภาพกลางโต๊ะขนม
แต่ละตอน แต่ละเรื่อง ไม่ยาวมากเกิน เราจะได้ลุ้นว่าปัญหาลูกค้าคืออะไร และมาโดกะพลิกวิกฤตเป็นโอกาสอย่างไร และที่สำคัญ เราจะเจอขนมอะไรในตอนนี้
อ่านเรื่อย ๆ เพลินมาก อ่านแล้วอบอุ่นมีความสุข ตามสไตล์ฟูมิเอะ คนโดะ
หนังสือแปลโดยท่านเดิม กนกวรรณ เกตุชัยมาศ และสำนักพิมพ์เดิม sunday afternoon หนังสือเอห้าเล่มบาง ๆ 260 หน้า ราคาปก 315 บาท พกง่าย หยิบมาอ่านเวลาพัก เวลากินขนม เพลินเลย
รับรองอ่านแล้วมีกดกูเกิ้ลดูรูปอาหารและขนม และสรรหาขนมมากินแน่นอนครับ
โอม..จงซื้อ จงดอง ป้ายยามหานิยม

19 เมษายน 2568

หูชั้นนอกอักเสบ (otitis externa)

 สั้น ๆ เร็ว ๆ กับ หูชั้นนอกอักเสบ (otitis externa)

1. ส่วนมากเกิดจากการแคะหู น้ำเข้าหู
2.อาการคือบวม แดง เจ็บ ที่อาจเป็นเฉพาะจุด หรือเป็นทั่วทั้งใบหู
3. การรักษาคือ หยุดแคะหู ใช้ยากินฆ่าเชื้อ.ยาหยอดหู อาจให้ยาต้านการอักเสบถ้าบวมมาก
4.เชื้อก่อโรคส่วนมากคือเชื้อที่ผิวหนัง Staphylococcus ยากินที่เป็นยาหลักคือ cloxacillin และยาหยอดหู polymyxin
5.หากเป็นทั้งใบหู หรือ มีโรคประจำตัวรุนแรงที่อาจลุกลามเข้าช่องกะโหลก ที่สำคัญคือ เบาหวาน ต้องระมัดระวังเชื้อ Pseudomonas และต้องให้ยาครอบคลุมเชื้อนี้
6.ติดตามอาการเสมอ ถ้าลุกลามมาก อาจต้องให้ยาทางหลอดเลือด หรือผ่า,เจาะ

18 เมษายน 2568

 เรื่องราวของวัคซีนปอดอักเสบนิวโมคอคคัส : เรื่องยาวแต่จะเข้าใจ

เราย้อนกลับไปไกลนิดนึงนะครับ ประมาณปี 1850 ที่ประเทศแอฟริกาใต้
ตอนนั้นประเทศแอฟริกาใต้เป็นหนึ่งในอาณานิคมของจักรวรรดิบริติช หลังจากสงครามบัวร์ และเป็นหนึ่งในอาณานิคมแอฟริกาที่พระราชินีนาถวิคทอเรียมาเยือนถึงที่ ปัจจุบันท่าเรือที่พระราชินีมาเยือน อยู่ที่เคปทาวน์ ชื่อท่าเรือ V&A waterfront คือ วิคทอเรียแอนด์อัลเบิร์ต นั่นเอง
หนึ่งในเป้าหมายที่จักรวรรดิบริติชมาครอบครองดินแดนนี้คือ เหมืองทองคำ ที่มีมากมายในดินแดนแอฟริกาใต้ สวาซิแลนด์ ไปจรดนามิเบีย แต่เหมือนไม่ได้อยู่ที่เคปทาวน์นะครับ อยู่ลึกไปในแผ่นดินบริเวณเมืองโจฮานเนสเบิร์ก
มีเศรษฐีอังกฤษมาเปิดเหมืองที่นี่มากมายและทำเหมืองมาเกือบร้อยปี อาศัยแรงงานสำคัญในเหมืองคือ แรงงานทาสชาวแอฟริกา ได้จากการจับตัวเชลยศึกและซื้อขายทาสจากทั่วดินแดนแอฟริกา
แน่นอนว่าร้อยพ่อพันแม่ ต้องมาอยู่รวมกันในที่พักในเหมืองหรือขุดลึกลงไปในเหมือง สิ่งที่เลี่ยงไม่ได้คือ โรคระบาดจากการอยู่แออัด
หนึ่งในเหมืองทองชื่อดังคือ เหมืองทองที่เมือง witwaterstrand ที่ใหญ่มาก ขุดทองได้เยอะ และยังคงสภาพเป็นสถานที่ท่องเที่ยวในปัจจุบัน ตั้งอยู่ทางใต้ของโจฮานเนสเบิร์ก
แต่เนื่องจากเป็นเหมืองขนาดใหญ่ คนงานเยอะจึงประสบปัญหาสำคัญคือ การเสียชีวิตอย่างต่อเนื่องจากโรคปอดอักเสบ ทางเจ้าของเหมืองต้องว่าจ้าง Almroth Wright หนึ่งในบุคคลสำคัญอยู่ในทีมคิดค้นวัคซีนไทฟอยด์ มาช่วยจัดการโรคในเหมือง ที่ตอนนั้นทราบแล้วว่าเกิดจากปอดอักเสบติดเชื้อ และเกิดจากแบคทีเรีย นิวโมคอคคัส (Streptococcus pneumoniae)
ทำไมต้องเป็นทีมไทฟอยด์ มันมาเกี่ยวอะไรกับเชื้อปอดบวมนิวโมคอคคัส
คนเรารบกับเชื้อโรคมานานมากครับ เราพัฒนาวิธีกำจัดเชื้อโรค เชื้อโรคก็พัฒนาวิธีอยู่รอดเช่นกัน
แบคทีเรียบางชนิดได้พัฒนาเกราะกำบังตัวที่ชื่อว่า แคปซูล เพื่อไม่ให้เซลล์ฟาโกไซต์จับกินเชื้อโรคได้ เซลล์พวกนี้จับกินหมดครับถ้ามันกินได้ แต่พอแบคทีเรียสร้างแคปซูล เซลล์พวกนี้ก็กินลำบาก มันอยู่รอดได้ดีขึ้น เชื้อแบคทีเรียที่สร้างแคปซูลมีหลายชนิด ที่สำคัญคือ นิวโมคอคคัส เชื้อกาฬหลังแอ่น เชื้อไทฟอยด์
ร่างกายเราก็ฉลาดพอ พัฒนาการสร้างแอนติบอดี เฉพาะกับแคปซูลแต่ละเชื้อ แต่ละชนิดย่อย (serotype) ให้มาเกาะติดกับแคปซูล เป็นการติดป้ายบอกเซลล์ฟาโกไซต์ว่า นี่คือเชื้อโรคนะจ๊ะ กรุณาจับกินด้วย
กระบวนการนี้เรียกว่า opsonization เมื่อแคปซูลถูกติดป้าย และไหลเวียนในกระแสเลือด เข้าสู่ม้าม อวัยวะที่มีเซลล์ฟาโกไซต์เยอะมาก ทำการจับกินแบคทีเรียที่มีแคปซูลและติดป้ายเรียบร้อย
นั่นคือสาเหตุที่เราท่องกันว่า ผู้ป่วยที่ถูกตัดม้าม หรือม้ามไม่ทำงาน จะประสบปัญหาติดเชื้อโรคที่มีแคปซูลได้มากกว่าปกติ และควรฉีดวัคซีนก่อนตัดม้าม
เรากลับมาที่ Almroth Wright และเหมือนทองคำในแอฟริกาใต้
มีการใช้เชื้อนิวโมคอคคัสที่ตายแล้ว นำมาฉีดให้กับคนงานเหมือง … อย่าเพิ่งตกใจ ในยุคปี 1891 ยังไม่มีข้อกำหนดเรื่องของการทดลองในคน และอีกอย่างตอนนั้นสิทธิเสรีภาพของชาวแอฟริกันในฐานะทาส มันน่าหดหู่อย่างยิ่ง ถูกเอารัดเอาเปรียบ ทรมาน เข้าไม่ถึงการรักษามาตรฐาน ผมเคยไปพิพิธภัณฑ์การค้าทาสที่แอฟริกามาแล้ว เรียกว่า ต้องก้มหน้าให้กับความอยุติธรรมในยุคนั้นเลย
เมื่อฉีดวัคซีนแล้วก็ปรากฎว่าอัตราการเสียชีวิตของคนที่เป็นปอดอักเสบลดลง โดยเฉพาะในสี่เดือนแรกของการป่วย คิดว่าสี่เดือนหลังที่ไม่ต่างกัน เพราะอาจจะมีผลแทรกซ้อนหรือโรคที่รุนแรง
คุณ wright เป็นนักวิจัยครับ เขาจึงนำเรื่องราวนี้ไปตีพิมพ์และต่อจากนั้นมีนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกให้ความสนใจศึกษาต่อเนื่อง เพราะตอนนั้นเรารู้แล้วว่าเชื้อนิวโมคอคคัส ทำให้เกิดปอดอักเสบ หูอักเสบ ไซนัสอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ แต่เรายังทำอะไรกับเชื้อไม่ได้
โปรดอย่าลืมว่าในปี 1891 เรื่อยมาจนศึกษามากขึ้นในปี 1917 เรายังไม่มีเพนิซิลิน เรายังไม่มียาฆ่าเชื้อ ช่วงเวลาแห่งการล่มสลายของจักรวรรดินิยม จนมาถึงจบสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง มีสงครามมากมาย แต่สิ่งที่คร่าชีวิตทหารมากกว่าสงครามคือ โรคระบาด กว่าเราจะจัดการสิ่งแวดล้อมและลดโรคระบาดได้ เรียกว่าตายไปครึ่งยุโรปเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการถือกำเนิดของไข้หวัดใหญ่หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ไข้หวัดสเปน
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่งการศึกษาต่อยอดจาก Wright เริ่มกว้างขวางขึ้น โดยเฉพาะการศึกษาในสัตว์ทดลอง เราจึงพบว่า สัตว์ที่ถูกเราฉีดเชื้อเข้าไป จะเกิดภูมิคุ้มกันแต่เฉพาะแบบของเชื้อสายพันธุ์นั้น ๆ ทำให้เรารู้จักชนิดของเชื้อแบ่งตามภูมิคุ้มกันหรือ serotype และทราบต่อไปอีกว่าตัวที่กำหนดชนิดภูมิคุ้มกันจะอยู่ที่แคปซูลของเชื้อนั้น
นำไปสู่การพัฒนาวัคซีนโดยการฉีดเฉพาะแคปซูลเท่านั้น ซึ่งในระยะแรกการฉีดแคปซูลในคนก็ไปทำที่เหมืองทองในแอฟริกาใต้อีกนั่นแหละครับ คนงาน 60800 คน แบ่งได้รับวัคซีนครึ่งนึง ปรากฏว่าอัตราการป่วยและตายลดลงจากเดิมถึง 50% และเมื่อเราสามารถแยกชนิดของแคปซูลได้ดี ก็มีการพัฒนาวัคซีนให้บริสุทธิ์มากขึ้น เฉพาะเจาะจงมากขึ้น
การศึกษาวัคซีนชนิด polysaccharide capsules สามสายพันธุ์ ทำครั้งแรกในคนเมื่อปี 1933 หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ซึ่งยังไม่มีระเบียบการวิจัยในคนอีกเช่นกัน (เกิดหลังสงครามโลกครั้งที่สอง) ในเวลานั้นพบว่า สามารถป้องกันการเสียชีวิตและการป่วยหนักได้เกือบ 100% ในการติดเชื้อที่ตรงกับสายพันธุ์วัคซีน
นั่นทำให้มีการเร่งค้นหาสายพันธุ์ต่าง ๆ ของนิวโมคอคคัส โดยเน้นสายพันธุ์ที่ก่อโรคในคน จนในปี 1983 ได้ถือกำเนิดวัคซีนปอดอักเสบชนิดโพลีแซคคาไรด์แคปซูล จำนวน 23 สายพันธุ์ หรือ PPSV 23 ที่ใช้ต่อเนื่องกันมาจนถึงทุกวันนี้
แต่ PPSV และวัคซีนจากแคปซูลยังไม่ตอบโจทย์การระบาดของโรคหลายประการ อย่างแรกที่สำคัญคือ มันแทบใช้ไม่ได้ในเด็กโดยเฉพาะทารกและเด็กเล็ก ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญในการป้องกันโรค เพราะติดเชื้อง่ายและป่วยหนัก อีกประการคือ ปฏิกิริยาการเกิดภูมิคุ้มกันที่ได้จากแคปซูลยังไม่มีสามารถอยู่ได้นานเท่านี่ควร
จึงมีการพัฒนาวัคซีนจากแคปซูลไปอีกขั้น
เชื้อ Hemophilus influenzae type B หรือ HiB เป็นเชื้อโรคที่มีแคปซูล และนำแคปซูลมาใช้พัฒนาวัคซีนเหมือนกับนิวโมคอคคัส ประสบปัญหาเช่นเดียวกัน นักวิทยาศาสตร์ได้ลองแก้ปัญหาโดยการ “conjugate”
นำส่วนหนึ่งของพิษเชื้อคอตีบ (diphtheria toxin) ที่สร้างจากการสังเคราะห์ ตัดมาเฉพาะส่วนไม่มีพิษ นำมาผสมกับส่วนแคปซูลของเชื้อ
ส่วน toxin นี้ ไม่มีพิษและมีสมบัติที่ดีในการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน กระตุ้นได้ดี กระตุ้นได้แรง และไม้ตายสำคัญคือ กระตุ้น T helper cell กับ memory B cell โดยการกระตุ้นภูมิโดยผ่าน toxin นี้ ผ่านระบบเซลล์ภูมิคุ้มกันครบถ้วน ต่างจากวัคซีนจากแคปซูลที่กระตุ้นโดยไม่ผ่านระบบ T cell
เราจึงเรียก polysaccharide capsule ที่มาผสานกับ harmless toxin นี้ว่า conjugated vaccine
หลังจากที่ใช้กับเชื้อ HiB จนสำเร็จ จึงนำหลักการนี้มาใช้กับนิวโมคอคคัส ผลิตเป็นคอนจูเกตวัคซีนนิวโมคอคคัสตัวแรก PCV-7 ชนิดเจ็ดสายพันธุ์ และมีการศึกษาในคน ที่น่าทึ่งเหมือนโลกกลม การศึกษาทั้งเด็กและผู้ใหญ่ทำที่แอฟริกาใต้อีกเช่นเคย ผลปรากฏว่าลดอัตราการป่วยหนักลงได้ถึง 90-95%
เช่นเคย ป้องกันได้ดีมาก หากป่วยตรงสายพันธุ์ที่ฉีดวัคซีน แต่ถ้าไม่ตรงจะป้องกันได้ปานกลาง อีกอย่างคือ เกิดปรากฏการณ์ของปอดอักเสบจากสายพันธุ์ที่ไม่มีวัคซีนเพิ่มสูงขึ้นอีก
จึงต้องมีการพัฒนาวัคซีนให้ครอบคลุมมากขึ้น หรือฉีดคู่ PPSV-23
ข้อดีของคอนจูเกตวัคซีนนี้ สามารถฉีดสร้างภูมิในเด็กได้ กระตุ้นการสร้างภูมิได้เร็ว แรง ดุดัน ไม่เกรงใจใคร
โดยก่อนหน้านี้ในผู้ใหญ่ เราจะฉีด PCV-13 หนึ่งเข็ม และพิจารณาฉีด PPSV-23 ซ้ำอีกหนึ่งเข็ม ในกลุ่มเสี่ยงเฉพาะ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กว้างขวางและทรงพลังมากพอในทุกสายพันธุ์ก่อโรค
และวันนี้พัฒนามาเป็น PCV-15 และ PCV-20 ที่ครอบคลุมเชื้อก่อโรคได้มากมาย สามารถฉีดเพียงเข็มเดียว โดยไม่ต้องฉีด PPSV-23 ซ้ำ
ยังมีการพัฒนาชนิดและการผลิตวัคซีนนิวโมคอคคัสต่อเนื่อง ก้าวหน้าขึ้น เพื่อให้ครอบคลุม ทรงพลัง ปกป้องและลดอัตราการเสียชีวิตได้ดีขึ้น ไม่ว่าจากโรคปอดอักเสบ หรือผลแทรกซ้อนสำคัญคือ หัวใจล้มเหลว
สรุปว่า
อายุ 65 ขึ้นไป ฉีด PCV-20 เพียงหนึ่งเข็มแล้วจบ ส่วน PCV-15 ก็ฉีดหนึ่งเข็มและพิจารณากระตุ้นด้วย PPSV-23 ในกลุ่มเสี่ยงเท่านั้น
ส่วนกลุ่มเสี่ยงพิเศษที่ต้องได้วัคซีนก่อนอายุ 65 ก็ใช้สองตัวนี้เช่นกัน ตามคำแนะนำของหมอครับ
จบแล้ว ปรบมือให้คนที่อ่านจบครับ

บทความที่ได้รับความนิยม