สิ่งที่ประชาชนควรทราบจากแนวทางการรักษาโรคมาลาเรียประเทศไทยปี 2568
แนวทางนี้ออกแบบมาให้คุณหมอบุคลากรทางสาธารณสุขเป็นหลักนะครับ ว่าด้วยการรักษาเกือบทั้งหมดและผมคิดว่าทุกคนควรรับทราบว่ามีแนวทางนี้ เวลาเจอคนไข้จะได้หยิบมาเปิดได้ เพราะโรคมาลาเรียไม่ได้เกิดบ่อยกับทุกภูมิภาคแต่สามารถเจอได้บ้างเพราะทุกวันนี้เราเดินทางกันสะดวก สำหรับประชาชนทั่วไปก็มีข้อที่ควรทราบเช่นกันนะครับ
1.ไข้สูงเป็นรอบทุก 36-48 ชั่วโมง และประวัติเข้าดินแดนระบาดโดยเฉพาะพื้นที่ชายขอบฝั่งภาคตะวันตก คือข้อมูลสำคัญในการวินิจฉัย อาจพบปัสสาวะเข้มเป็นสีดำ ตับโตได้ แต่ถ้าเริ่มเหลือง เริ่มซึม อันนี้จะเริ่มอันตรายแล้ว และยังต้องคิดถึงไข้มาลาเรียเอาไว้เสมอ หากมีไข้ไม่ทราบสาเหตุในบ้านเรา
2.เชื้อมาลาเรียมี 5 ชนิด แต่ที่ก่อปัญหามากคือ plasmodium falciparum อันนี้ขึ้นสมองได้ ตายได้ง่าย รองลงมาคือ plasmodium vivax อาการเบากว่า สำหรับพลาสโมเดียมอื่น ๆ พบบ้างประปราย โรคมาลาเรียมักเป็นไข้เฉียบพลัน ดีขึ้นแย่ลงในเวลาเป็นสัปดาห์ ยกเว้นตัวเชื้อ plasmodium vivax และ plasmodium ovale ที่อาจมีเชื้อสงบแฝงในตับ และออกมาเป็นพัก ๆ ได้
3.เราสามารถวินิจฉัยยืนยันมาลาเรียทางห้องแล็บไม่ยากนัก โดยการเจาะเลือดดูด้วยกล้องดูตัวปรสิตในเม็ดเลือดก็แยกได้ครับ และการตรวจนี้จำเป็นมาก นอกจากวินิจฉัยและแยกโรคแล้ว ยังสามารถนับปริมาณเชื้อปรสิตเพื่อบ่งบอกความรุนแรงได้ด้วย หากรุนแรงต้องถ่ายเลือด เรามีชุดตรวจแยก plasmodium falciparum ออกจากเชื้ออื่นได้ง่าย เพราะเชื้อตัวนี้อันตราย สุดท้ายเราสามารถหาสารพันธุกรรมแยกโรคได้ชัดเจน
4.สำหรับเรื่องการรักษา ประชาชนเราท่านต้องทราบข้อมูลสำคัญสามประการ
4.1 รุนแรงกับไม่รุนแรง หากอาการรุนแรง มีผลแทรกซ้อน หรือมีความเสี่ยงสูง เช่น ปริมาณปรสิตในเลือดสูงมาก หรือตั้งครรภ์ จะต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล และอาจต้องใช้ยาฉีด artesunate จนกว่าอาการจะดีขึ้น แต่หากอาการไม่รุนแรงจะใช้ยากินได้ คือยา dihydroartemisinin-piperoquine, primaquine, chloroquine, tefanoquine
4.2 พื้นที่อาศัย ท่านอยู่ที่**ศรีษะเกษหรือ**อุบลราชธานีหรือไม่ ข้อมูลทางระบาดวิทยาระบุว่าเป็นพื้นที่มีการดื้อยาสูง หากเป็นมาลาเรียชนิด plasmodium falciparum ในสองจังหวัดนี้จะใช้ยากิน artesunate-pyronaridine ร่วมกับยา primaquine
4.3 ภาวะพร่องเอนไซม์ G-6-PD เนื่องจากยาที่ใช้รักษามาลาเรียหลายชนิดโดยเฉพาะ primaquine ที่ต้องปรับขนาดในโรคพร่องเอนไซม์ G-6-PD และ tefanoquine ที่ห้ามใช้ และหากเราไม่ทราบว่าเราพร่องเอนไซม์หรือไม่ก็จะมีชุดตรวจวัดระดับเอนไซม์นี้แบบรู้เร็ว จริง ๆ แล้วการปรับยาจะจำเป็นในการรักษามาลาเรียที่ไม่ใช่ falciparum ซึ่งไม่เร่งด่วนเท่า จึงมีเวลาในการเตรียมการ มีเวลาในการส่งตัวหรือสามารถใช้ยาขนาดต่ำไปก่อนได้
5.การรักษามาลาเรียรุนแรง จะใช้ยา artesunate เป็นหลัก แต่ในสถานพยาบาลที่ไม่มียานี้ อีกตัวเลือกคือเพื่อนเก่าของเรายา quinine sulfate ที่ต้องระมัดระวังมาก ๆ คือ ทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะได้ ดังนั้นโรคประจำตัวกลุ่มโรคหัวใจ จะต้องทราบชนิดของโรคและยาที่ใช้ให้ชัดเจนนะครับ
6.การติดตามการรักษาสำคัญมาก เพราะต้องติดตามความรุนแรงของโรคและนับเชื้อมาลาเรียในเลือด โดยจะติดตามบ่อยในช่วงเดือนแรก สำหรับผู้ป่วยที่ใช้ยา primaquine และ tefanoquine ต้องติดตามผลข้างเคียงสำคัญคือเม็ดเลือดแดงแตก (มาลาเรียก็ทำให้เม็ดเลือดแดงแตกเช่นกัน) และหากเป็น plasmodium vivax หรือ plasmodium ovale จะต้องติดตามยาวนานถึง 3 เดือน เพราะอาจพบภาวะติดเชื้อแฝงในตับ (hypnozoite..hypnos = หลับ)
7.ถ้ารักษาแล้วล้มเหลว ส่วนมากต้องเน้นย้ำเรื่องการกินยา จะต้องให้การรักษาซ้ำด้วยยาสูตรต่างจากเดิม อย่างไรก็ต้องติดตามและรักษาจนกว่าจะพิสูจน์การหายได้
ประมาณนี้ที่ประชาชนทั่วไปควรทราบ จะได้เข้าใจกระบวนการรักษา ส่วนบุคลากรทางการแพทย์ต้องอ่านให้ครบและเข้าใจ สามารถดาวน์โหลดได้ฟรีครับ